วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ริ้วรอยแตกลายลบได้ด้วยว่านหางจระเข้


ใครที่มีปัญหาริ้วรอยแตกลาย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ลองหาว่านหางจระเข้มาช่วยลบริ้วรอยกันดู.....

ริ้วรอย อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลายกันได้

วิธีทำง่ายๆ คือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านห่างจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้ อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ
แต่ถ้าหากไม่มีว่านหางจระเข้ก็สามารถใช้ใบบัวบกแทนได้ โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

การถ่ายภาพให้สวย



1. ย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับสิ่งที่จะถ่าย - ถือกล้องในระดับเดียวกับระดับสายตาของแบบ เพื่อเก็บภาพที่แสดงถึงพลังของการเพ่ง มองที่น่าดึงดูด และรอยยิ้มที่น่าหลงใหล- ถ้าแบบเป็นเด็กหรือสัตว์เลี้ยง เพียงย่อตัวลงให้อยู่ระดับเดียวกับพวกเขาเมื่อถ่ายภาพ- แบบไม่ต้องมองตรงมายังกล้อง มองไปมุมใดก็ได้ คุณก็สามารถเก็บอารมณ์ของแบบที่ น่าประทับใจได้
2. อย่าให้ฉากหลังดูรุงรัง
- ก่อนถ่ายภาพ สังเกตมองพื้นที่หลังแบบว่าเรียบหรือรกรุงรัง- ระวังกิ่งไม้ที่อาจจะอยู่ด้านหลังศีรษะของแบบ- ฉากหลังที่รก ระเกะระกะน่ารำคาญ ในขณะที่ฉากหลังเรียบจะช่วยเน้นให้แบบโดดเด่น
3. ใช้แฟลชเมื่อถ่ายกลางแจ้ง - แม้จะถ่ายรูปกลางแจ้ง การใช้แฟลชก็ยังช่วยให้ภาพดูดีขึ้นได้- ขณะแสงแดดจ้า การใช้แฟลชจะช่วยทำให้เงาดำใต้ตาและใต้จมูกสว่างขึ้น โดยเฉพาะ ช่วงที่พระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะหรืออยู่ด้านหลังแบบ- ในวันที่ฟ้ามีเมฆ การใช้แฟลชจะทำให้หน้าของแบบกระจ่างสดใสขึ้น และช่วยให้แบบ โดดเด่นจากฉากหลัง
4. เข้าไปใกล้อีกนิด - เพื่อสร้างรูปถ่ายที่ประทับใจ ขยับเข้าไปอีกและทำให้แบบอยู่เต็มภาพ- การขยับเข้าใกล้แบบ หรือใช้ซูมจนกระทั่งแบบเต็มช่องมองภาพ จะช่วยให้คุณตัดฉาก หลังที่จะลดความโดดเด่นของแบบออกไป และยังแสดงรายละเอียดของแบบได้เต็มตา ด้วย- สำหรับแบบขนาดเล็ก เลือกใช้โหมด "มาโคร" หรือ "ดอกไม้" เพื่อจะได้ภาพโคลสอัพ (close-ups) ที่คมชัด
5. ลองถ่ายภาพในแนวตั้ง- มีแบบมากมายที่ดูสวยงามกว่าหากถ่ายในแนวตั้ง จากหอไอเฟิลไปจนถึงรูปถ่ายเพื่อน ของคุณ- ทดลองตั้งกล้องเพื่อถ่ายรูปแนวตั้งบ้าง
6. ล็อคโฟกัสเพื่อให้ได้ภาพคมชัด- การล็อคโฟกัสเพื่อให้ได้ภาพคมชัดของแบบที่ไม่อยู่กลางภาพ ทำได้ดังนี้1. เล็งแบบให้อยู่ตรงกลางภาพ2. กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งเพื่อให้กล้องโฟกัสที่แบบ3. จัดองค์ประกอบภาพใหม่ (โดยยังกดชัตเตอร์ค้างอยู่)4. กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ
7. ไม่จำเป็นต้องอยู่กลางภาพ- เพิ่มชีวิตชีวาให้ภาพของคุณอย่างง่ายดาย โดยการเลื่อนแบบออกจากบริเวณกลางภาพ- ลองจินตนาการตาราง โอเอ็กซ์ (มีเก้าช่อง) ในช่องมองภาพและวางแบบตรงจุดตัด ของเส้น- เนื่องจากกล้องส่วนใหญ่จะโฟกัสตรงกลางภาพ ดังนั้น อย่าลืมใช้เคล็ดการล็อคโฟกัส ก่อนที่จะจัดกรอบภาพใหม่
8. รู้ระยะแฟลช
- ภาพถ่ายที่ได้จากการถ่ายแบบเกินระยะทำการของแฟลช จะมืดเกินไป- กล้องส่วนมากจะมีระยะทำการแฟลชแค่ 10 ฟุต หรือประมาณ 4 ก้าว ควรอ่านคู่มือเพื่อ ให้แน่ใจ- ถ้าแบบที่ต้องการถ่ายอยู่ห่างจากกล้องเกิน 10 ฟุต ภาพถ่ายที่ได้อาจมืดเกินไป
9. สังเกตแสง-เงา - แสงที่ดีทำให้ได้ภาพถ่ายที่ดี ควรศึกษาผลของแสงในภาพถ่ายของคุณ- สำหรับการถ่ายภาพคน ควรเลือกแสงนุ่มๆ ของวันที่มีเมฆ หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ส่องตรง ศีรษะ เพราะจำเกิดเงาดำเข้มบนใบหน้า- สำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ควรใช้แสงเงาและสีของแสงแดดในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็น
10. เป็นผู้กำกับ- ใช้เวลาเพิ่มอีกสักนิดในการถ่ายภาพ เสมือนคุณเป็นผู้กำกับภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถ่าย ภาพ- เพิ่มของประกอบฉาก (Prop) หรือจัดแบบใหม่ หรือลองมุมกล้องที่ต่างจากเดิม- ให้แบบมาอยู่ด้วยกันและปล่อยให้พวกเขาแสดงบุคคลิกของตัวเองออกมา และคุณจะ เห็นว่าภาพถ่ายของคุณดูดีกว่าเดิมอย่างมหัศจรรย์ ข้อมูลจาก exstory.exteen.com

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

พบประโยชน์ของผลไม้หลังสุด ที่มีคุณค่ามากกว่าเก่า 5 เท่า


นักวิจัยเมืองผู้ดีค้นพบว่า ผลไม้มีปริมาณสารเคมีโพลีฟีนอลสูงกว่า ที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า เพราะการย่อยได้สลายเป็นสารอาหารที่ให้คุณต้านอนุมูลอิสระ.....

คณะนักวิทยาศาสตร์ได้นำเอาคุณสมบัติของผลไม้ต่างๆไปวิเคราะห์ใหม่ และได้พบว่าผลไม้อย่างลูกแอปเปิ้ลล้วนแต่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญในระดับสูงกว่า ที่เคยคาดผิดไว้แต่เมื่อก่อน

คณะวิเคราะห์ได้ศึกษาที่สถาบันวิจัยอาหารในเมืองนอรวิชของอังกฤษ ได้รู้ว่า ผลไม้เหล่านั้นมีปริมาณของสารเคมีโพลีฟีนอลชั้นสูง มากกว่าที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า

ดร.ปอล ครูน กล่าวว่า สารประกอบเหล่านี้ในมนุษย์ จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายกลายเป็นสารในกระบวนการสร้างและสลายที่ให้คุณ อย่างเช่นในด้านต่อต้านอนุมูลอิสระ

รายงานผลการวิจัย ซึ่งเผยแพร่ในวารสารเคมีการเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ ได้แสดงว่าสารเคมีซึ่งปกตินักเคมีอาหารมองข้ามไปนั้น แท้จริงเป็นส่วนสำคัญของอาหารบำรุงร่างกาย

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

เหตุใดน้ำแข็ง จึงลอยอยู่บนน้ำได้


เพราะน้ำแข็งมีความหนาแน่นน้อยกว่า น้ำที่มีน้ำหนักเบากว่าน้ำ จึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้ การเปรียบเทียบน้ำหนักของน้ำและน้ำแข็งจะต้องเปรียบเทียบในจำนวนปริมาตรที่ เท่ากัน น้ำหนึ่งลูกบาศก์เซนติเมตรมีน้ำหนักหนึ่งกรัมแต่น้ำแข็งหนึ่งลูกบาศก์ เซนติเมตรจะหนักเพียง 0.9 กรัม แสดงว่าน้ำแข็งเบากว่าน้ำ ดั้งนั้นน้ำแข็งจึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้.....

น้ำ มีสมบัติเฉพาะตัว เมื่อน้ำมีอุณหภูมิที่ 4 องศาเซลเซียสน้ำจะขยายตัว น้ำเมื่อแข็งตัวจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10 เปอร์เซนต์ ถ้านักเรียนใส่น้ำใน ลูกโป่งและนำไปแช่แข็งน้ำแข็งจะมีมวลเท่าเดิมแต่ปริมาตรเพิ่มขึ้น การที่สสารมีมวลเท่าเดิมแต่ขนาดเพิ่มขึ้นแสดงว่าสสารนั้นมีความหนาแน่นลดลง ดังนั้นเมื่อใส่น้ำแข็งในน้ำ น้ำแข็งจึงลอย เพราะน้ำแข็งมีความ หนาแน่นน้อยกว่าน้ำผลบางประการที่เกิดจากสมบัติข้อนี้ของน้ำ

ตัวอย่างเช่น
ถ้าใส่น้ำในขวดแก้วจนเต็มปรี่แล้วปิดจุกจนแน่น นำไปแช่เย็นจนน้ำเปลี่ยนเป็น น้ำแข็ง ขวดที่ใส่จะแตก ทั้งนี้เพราะน้ำขยายตัวเมื่อเป็นน้ำแข็ง อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเมื่อน้ำ เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแต่ไม่ขยายตัว (เพิ่มปริมาตร) น้ำแข็งอาจจับตัวอยู่ก้นทะเล หรือมหาสมุทร ไม่แข็งอยู่เฉพาะผิวหน้า ถ้าเป็นเช่นนั้นในฤดูหนาวน้ำในทะเลสาปใน ประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลกจะเป็นน้ำแข็งไปหมดพอถึงฤดูร้อน น้ำแข็งหลอมเหลวไม่หมด ก็จะทำให้ระบบนิเวศของโลกเปลี่ยนไปด้วย

ข้อมูลจาก :: ที่นี่ดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำเพื่อสุขภาพ


ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3-7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน การขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง.....
หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่น ควรดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำทั้งหมด 10 แก้ว โดยตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนสายดื่มอีก 2 แก้ว ตอนบ่ายและตอนเย็นดื่มครั้งละ 3 แก้ว และก่อนเข้านอนดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายขึ้น นอกเหนือจากน้ำเปล่าแล้ว คุณ ๆ สามารถดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ไม่จำกัด ข้อควรจำคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอ ก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อย รับรองสบายท้อง ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลา เป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะเวิร์กกว่า

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โรคเอ็มเอส โรคร้ายของหนุ่มสาว


โรคเอ็มเอส หรือ โรคปลอกประสาทอักเสบ หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลาย เคยมีอาการรู้สึกเหน็บชา ไม่มีแรง เห็นภาพซ้อน เดินทรงตัวผิดปกติบ้างไหมเอ่ย ถ้าเคยมีอาการดังที่กล่าวมา คุณอาจจะเสี่ยงต่อการเป็น โรคเอ็มเอส ได้ แล้ว โรคเอ็มเอส คืออะไรกันล่ะ ไปรู้จักกันดีกว่าค่ะ.....
โรคเอ็มเอส หรือโรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple sclerosis : MS) หรือชื่อภาษาไทยว่า โรคปลอกประสาทอักเสบ เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งระบบประสาทส่วนกลางนี้จะประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา เมื่อเกิดการอักเสบ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง สำหรับในประเทศไทย พบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ได้ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่า เป็นโรคที่มีความรุนแรง เพราะหากปล่อยไว้นาน ก็อาจพิการได้ถึงร้อยละ 50สาเหตุของ โรคเอ็มเอส สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิด โรคเอ็มเอส นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่า โรคเอ็มเอส เกิดจากปัจจัยหลัก คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียบางชนิด ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ระหว่างเซลล์ร่างกายกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้แทนที่ภูมิต้านทานจะทำลายเชื้อโรคเพียงอย่างเดียว กลับไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาทด้วย จนเกิดอาการอักเสบขึ้นมากลุ่มเสี่ยง โรคเอ็มเอส โรคเอ็มเอส มักพบมากในกลุ่มคนอายุน้อย วัยหนุ่มสาว หรือวัยทำงาน คือช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี ขณะที่อายุน้อยกว่า 12 ปี หรือมากกว่า 55 ปี พบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส น้อยมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงเป็น โรคเอ็มเอส มากกว่าผู้ชายถึงครึ่งเท่าตัว เนื่องจากฮอร์โมนมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันทั่วโลกพบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ประมาณ 2,500,000 คน และพบในประเทศไทยน้อยมาก ส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นต้นอาการของ โรคเอ็มเอส ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จะมีอาการหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดโรค เช่น หากเกิดที่เส้นประสาทตา จะส่งผลต่อการมองเห็น อาจสูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากเส้นประสาทตาอักเสบ จึงทำให้ปวดตา ตามัว ภายในเวลา 1-2 นาที หากเกิดที่ไขสันหลัง หรือสมอง อาจมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งตัว แขนขาไม่มีแรง เหน็บชา ปวด หรือปัสสาวะไม่ออก ขึ้นอยู่กับว่าเกิดที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนไหนของร่างกาย ถ้าเป็นที่สมองส่วนกลางที่ควบคุมการทรงตัว คนไข้อาจมีอาการหัวหมุน หรือวิงเวียนศีรษะได้แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้หากเป็นมากอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกาย จนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้ ใน ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ จะมีความผิดปกติทางสมองประมาณ 30-70% โดยเฉพาะด้านการกะระยะทาง ความจำ ความเร็วในการประมวลผล และการบริหารงาน ทั้งการแก้ปัญหา การวางแผน การจัดลำดับงาน เป็นต้น ทั้งนี้ โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส แต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะเกิดอาการขึ้นมาเมื่อไหร่ ลักษณะเช่นนี้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามสามารถจำแนก โรคเอ็มเอส ตามรูปแบบและความถี่ของอาการได้ ดังนี้ 1.โรคเอ็มเอส ชนิดที่เป็นๆ หายๆ (Relapsing – Remitting MS หรือ RRMS) 2.โรคเอ็มเอส แบบที่อาการค่อยรุดหน้าในภายหลัง (Secondary Progressive MS หรือ SPMS) 3.โรคเอ็มเอส แบบที่มีอาการค่อยๆ รุดหน้าตั้งแต่เริ่ม (Primary Progressive MS หรือ PPMS) 4.โรคเอ็มเอส ระยะเริ่มแรก (Benign MS)การวินิจฉัย โรคเอ็มเอส การวินิจฉัย โรคเอ็มเอส ของแพทย์เฉพาะทางประกอบด้วยหลายวิธี คือ 1.การทดสอบทางประสาทวิทยา (Neurological examination) เช่น สอบถามประวัติอาการในอดีต ตรวจการทำงานของตา การทรงตัว การรับสัมผัส และปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (reflex action) เป็นต้น 2.การใช้เครื่องเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging; MRI) ตรวจสแกน ทำให้สามารถมองเห็นภาพของสมองหรือไขสันหลังตำแหน่งที่เยื่อไมอีลินถูกทำลายและมีการสลายตัวเห็นเป็นรอยแผลเป็นในภาพ 3.การทดสอบทางสรีระวิทยาไฟฟ้าของสมองที่เรียกว่า "Evoked potentials" คือ การตรวจสอบความเร็วจากสิ่งกระตุ้น เป็นต้นว่า เสียงหรือภาพที่ส่งไปยังสมอง หรือความเร็วของการสั่งการจากสมองไปยังอวัยวะอื่นๆ ว่ามีความล่าช้ากว่าปกติหรือไม่อย่างไร 4.การเจาะไขสันหลังที่เรียกว่า "Lumbar puncture" เพื่อดูดเอาน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ไปตรวจ เพื่อพิสูจน์ว่าเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีจำนวนมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามัน
ทำงานมากขึ้นเกิดปฏิริยาเล่นงานโจมตีประสาทส่วนกลางการรักษา โรคเอ็มเอส ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา โรคเอ็มเอส ให้หายขาด เนื่องจากมีแผลเป็นในระบบประสาทเกิดขึ้น ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ โดยชะลอให้อาการต่างๆ ทุเลาลง ด้วยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ หรือยาลดความรุนแรงของโรคในกลุ่ม Interferon bata หรือยากดภูมิคุ้มกันบางตัว แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา นอกจากนี้ยังมีการแพทย์ทางเลือกเพื่อจะช่วยทุเลาอาการ เช่น การฝังเข็ม (acupuncture), ไคโรแพรกติก (chiropractic),ใช้ยาสมุนไพร (herbal medicine),แนวการรักษาแบบโฮมิโอพาธี (homeopathy) และแนวการรักษาแบบออสทีโอพาธี (osteopathy) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก โรคเอ็มเอส ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นคนที่เคยเป็นแล้ว ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นซ้ำ และลดความรุนแรงของโรค ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการซ้ำ ข้อปฏิบัติตัวในการป้องกัน โรคเอ็มเอส เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดของ โรคเอ็มเอส อย่างแน่ชัด ทำให้ไม่ทราบว่าจะป้องกัน โรคเอ็มเอส นี้ได้อย่างไร ดังนั้นการดูแลสุขภาพตัวเอง ทั้งใจและกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ อย่าเครียด เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้คือวิธีป้องกัน โรคเอ็มเอส ที่ดีที่สุดค่ะขอขอบคุณ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เก็บโลกไว้ให้ลูกหลานด้วย “10 วิถีใช้ชีวิตพอเพียง”

1. กินข้าวให้หมดจาน อาหารที่เหลือทิ้ง หมายถึงการทิ้งพลังงานในการปรุง และการกำจัดด้วย
2. กินอาหารตามฤดูกาล และเป็นผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น อาหารนอกฤดูกาลนั้น จำเป็นต้องบังคับให้ออกลูก ออกผล ซึ่งหมายถึงต้องใช้พลังงานเข้าช่วย หรือไม่ก็จะต้องสั่งซื้อและขนส่งมาจากที่ห่างไกล
3. กินผักใบเขียวให้มากขึ้น ลดเนื้อแดง และชีส การเลี้ยงปศุสัตว์ทั่วโลกนั้น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 18 แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติ เพียงแค่ลดเนื้อแดงลงแค่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็พอจะช่วยโลกได้บ้างแล้ว
4. เลือกผลิตภัณฑ์อินทรีย์ปลอดสารพิษทุกครั้งที่มีโอกาส ผลการวิจัยบอกไว้ว่า เกษตรอินทรีย์ช่วยรักษาคุณภาพของดิน ซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักคาร์บอนที่สำคัญ 5. เลือกอาหารสดที่ไม่ผ่านกระบวนการแช่แข็ง การแช่แข็งอาหารให้เก็บไว้ได้นาน ต้องผ่านกระบวนการ และเพิ่มเกลือ น้ำมัน และน้ำตาล รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ ส่วนใหญ่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เป็นการเพิ่มขยะอีกด้วย
6. เศษอาหารเหลือนำมาทำปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยคืนอินทรียสารลงสู่ดิน

7. รีไซเคิลช่วยลดคาร์บอนจากการผลิตใหม่ การรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียม 1 ใบ สามารถประหยัดพลังงานได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้เปิดโทรทัศน์นาน 3 ชั่วโมง ส่วนขวดแก้ว 1 ใบ หากนำมารีไซเคิลจะประหยัดพลังงานได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้เปิดหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ นาน 4 ชั่วโมง
8. ถอดปลั๊ก เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้ไฟฟ้า 9. เลือกอุปกรณ์ประหยัดน้ำ และอุปกรณ์ประหยัดไฟ
10. วางแผนการเดินทางโดยเลือกยานพาหนะที่คุ้มค่า (ต่อโลก) ให้มากที่สุด เช่น เดินทางด้วยจักรยาน หรือระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :: กิจกรรม ลดโลกร้อน ด้วยวิถีพอเพียง (Change Now for All Tomorrow)