วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปิดถนน 13 สาย จัดงานวันพ่อ 3 -13 ธ.ค. นี้


เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ดูแลงานจราจร เปิดเผยภายหลังประชุม เตรียมความพร้อมการจัดการจราจร กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5 ธันวามหาราช ระหว่างวันที่ 1 - 13 ธ.ค.นี้ ว่า การจัดงานแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 จัดที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันที่ 1-7 ธ.ค. เวลา 06.00-24.00 น. ไม่ปิดการจราจร ส่วนที่ 2 จัดบนถนนราชดำเนินกลาง และถนนต่อเนื่อง วันที่ 3-7 ธ.ค. ปิดการจราจร ถนน 9 สาย เวลา 18.00-24.00 น. ได้แก่

1. ถนนราชดำเนินจากแยก จปร. ถึงแยกผ่านพิภพ

2. ถนนนครสวรรค์ แยกจักรพรรดิ พงษ์ ถึงแยกผ่านฟ้า

3. ถนนหลานหลวง แยกหลานหลวง ถึงแยกผ่านฟ้า

4. ถนนพระสุเมรุ แยกสะพานวันชาติ ถึงแยกป้อมมหากาฬ

5. ถนนมหาชัย แยกป้อมมหากาฬ ถึงแยกสำราญราษฎร์

6. ถนนบริพัตร แยกผ่านฟ้า ถึงแยกถนนดำรงค์รักษ์

7. ถนนดินสอ แยก กทม. ถึงแยกสะพานวันชาติ

8. ถนนตะนาว แยกศาลเจ้าพ่อเสือ ถึงแยกคอกวัว

9. ถนนตานี แยกคอกวัว ถึงแยกสิบสามห้าง

โดยจะปิดจราจรคืนวันที่ 2 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. เพื่อซักซ้อมการจัดงานด้วย

ส่วนที่ 3 งานที่บริเวณ ลานพระบรมรูปทรงม้า วันที่ 5-13 ธ.ค. ปิดการจราจร 4 เส้นทาง เวลา 17.00-21.00 น. คือ

1. ลานพระราชวังดุสิต

2. ถนนอู่ทองใน

3. ถนนราชดำเนิน แยกพระรูปถึงแยกสวนมิสกวัน

4. ถนนศรีอยุธยา แยก พล.1 ถึงแยกวัดเบญจฯ

สำหรับ ทางเลี่ยง จาก ฝั่งธนบุรีมุ่งหน้า ฝั่งพระนคร ใช้ สะพานพระราม

8 เลี้ยวซ้าย เข้า ถนนราชสีมา หรือ ตรงไป ถนนจักรพรรดิพงษ์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ให้ตรงเข้า ถนนอัษฎางค์ ถนนราชินี สำหรับจาก ฝั่งพระนคร มุ่งหน้า ฝั่งธนฯ ใช้ สะพานกรุงธนฯ สะพานพระราม

7 สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระปกเกล้า ส่วนทางด่วน ควรลงทางด่าน พระราม 6 หรือ อนุสาวรีย์ชัยฯ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

2012 วันสิ้นโลก จริงหรือ?


กระแส ข่าวลือในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านอีเมล์ลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 ตามคำทำนาย ของปฏิทินชนเผ่ามายาในสหรัฐอเมริกาที่ทำปฏิทินหยุดไว้แค่ปี ค.ศ.2012 และการคาดคะเนถึงปรากฏการณ์วิปริตผิดธรรมชาติต่าง ๆ เช่น มีดาวเคราะห์อีกดวง เดินทางอยู่ในวงโครจรเดียวกันกับโลกของเรา จะโคจรมาชนกับโลกในปี ค.ศ.2012 รวมไปถึงอาจจะมีแนวโน้มการที่ขั้วแม่เหล็กของโลกจะเกิดการสลับขั้วกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายจนท่วมโลกได้อีกด้วย.....
ซึ่งกระแสข่าวเหล่านี้หวนกลับมาแพร่สะพัดไปทั่วโลกอีกครั้ง รวมถึงในประเทศไทย (หลังจากที่เคยเป็นที่กล่าวขวัญกันเมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว) อาจจะมีเหตุมาจากการโปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ของฮอลลีวู้ดลงโรงฉาย และค่ายโซนี่พิคเจอร์ส ในฐานะผู้สร้าง จัดทำเว็บไซต์ปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการตลาด จนคนในองค์กร "นาซ่า" ต้องทักท้วงว่าเป็นแผนการตลาดที่ไม่เหมาะสม ส่วนข้อเท็จจริงว่าโลกจะแตกจริงตามคำพยากรณ์หรือไม่ วันนี้กระปุกรวบรวบข้อมูลมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ (1) ปฏิทินมายาทำนายว่า ปีค.ศ.2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลกจริงหรือ? เกี่ยวกับเรื่องนี้ สมาคมดาราศาสตร์ โดย นายวิมุติ วสะหลาย ได้เขียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ปฏิทิน มายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ.2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 3,114 ปีก่อน คริสตกาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลกเชียวหรือ คอมพิวเตอร์สมัยก่อนก็มีระบบปฏิทินในตัวเครื่องที่แสดงวันเดือนปีได้ จนถึงสิ้น ค.ศ.2000 อันเป็นที่รู้จักกันในนามของปัญหา Y2K แต่เมื่อสิ้นสุด ค.ศ.2000 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบนับวันของคอมพิวเตอร์ ทำนองเดียวกัน โลกก็จะไม่แตกสลายเพราะว่าสุดตัวเลขปฏิทินมายา หลังวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่ (2) ในปี ค.ศ.2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ? นายวิมุติ ได้ให้คำตอบว่า จริง พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่า ช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของวัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ.2013 ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะกินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้น แม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ.2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะกระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ.2012 แล้ว แม้ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ.2000, ค.ศ.1989 และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี ค.ศ.2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ (3) ปี 2012 สนามแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งจริงหรือ? นายวิมุติ ได้ให้คำตอบว่า จริง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ.2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ทราบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ ค้นพบขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น การสำรวจในช่วงไม่กี่ปีมานี้พบว่า ขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าโลกใกล้สลับขั้วหรือกำลังวิปริต เพราะอัตราการเคลื่อนที่มีขึ้นมีลงอยู่เสมอ (4) หากเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กโลกจริง จะทำให้เกิดหายนะถึงขั้นผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากหรือไม่ นายวิมุติ ได้อธิบายไว้ว่า เนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเกราะคุ้มกันรังสีอันตรายจาก ห้วงอวกาศ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าหากเกิดความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก เช่น สนามแม่เหล็กหายไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก ก็ย่อมส่งผลต่อสรรพชีวิตบนพื้นโลกอย่างแน่นอน ผลกระทบที่ว่านี้จะรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการสูญพันธุ์ครั้ง ใหญ่หรือไม่? ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น และจากการเทียบบันทึกการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตซึ่งเกิดแล้วหลายครั้ง เราไม่พบว่ามีความสอดคล้องกับเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิด ขึ้นบนโลก นี่น่าจะพอเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า หากโลกสลับขั้วแม่เหล็กในช่วงนี้ก็คงไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย (5) ดาวนิบิรุ มีจริงหรือไม่? นายวิมุติ ได้อธิบายไว้ว่า "นิบิรุ" เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งของบาบิโลน ส่วนดาวนิบิรุเป็นดาวตามทฤษฎีของ "เซชาเรีย ซิตชิน" ซึ่งอ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิรุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่ และเคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจากทฤษฎีนี้มีหลักฐานอ่อนมากและตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์ รวมถึงนักวิชาการด้านสุเมเรียนด้วย นอกจากนี้เรายังมีข้อมูลจากนักวิชาการของไทยหลาย ๆ ท่าน มาให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกค่ะ โดยเริ่มจาก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า "เหตุ ที่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำทำนายโลกแตก ในปี 2012 กันมากขึ้น อาจเป็นเพราะอิทธิพลของการโฆษณาภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กำลังฉายอยู่ทั่วโลก ขณะนี้ นอกจากนั้น การที่มีโหรออกมาทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็อาจจะทำให้มีการ พูดถึงกันไปใหญ่ จนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนเริ่มตื่นตระหนก ส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าจะพูดในแง่หลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา และนักฟิสิกส์ รวมทั้งนักดาราศาสตร์ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดนั้น ยังมีหลักฐานอ่อนเกินไป หรือแทบจะไม่มีอะไรที่จะมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เลย" ดร.อานนท์ ยังกล่าวอีกว่า "อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอีกหลายข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ หรือยังหาไม่เจอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเปิดรับฟังข้อมูล รวมทั้งเร่งศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น แล้วจึงไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่ แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือ การทำความเข้าใจกับสภาพของโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และช่วยกันทำให้ดีขึ้นจะดีกว่า" ดร.อานนท์ กล่าวส่งท้ายว่า "ใน ฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ผมว่าเราควรเปิดกว้างสำหรับการรับฟังข้อมูลจากทุกด้าน และไตร่ตรองกับข้อมูลเหล่านั้นอย่างรอบคอบ เช่น นักวิทยาศาสตร์เขาเชื่อว่า ปี 2012 โลกยังไม่แตก เพราะเขาศึกษามา มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงและพิสูจน์ได้ ในขณะที่โหรคนหนึ่งบอกว่า ปีดังกล่าวโลกจะแตก เพราะเขานั่งทางในเห็น เหตุผลแบบนี้ผมก็ฟัง และทุกคนก็ฟัง แต่ก็ต้องมาคิดแล้วว่าเราจะเชื่อใครดี" ดร.อานนท์ กล่าว ด้าน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้แสดงทรรศนะในเรื่องเดียวกันนี้ว่า "เรื่องปี 2012 นี้เป็นสิ่งที่หลายคนกำลังกังวลอยู่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโลกของเรา บ้าง เพราะปัจจุบันเรามีความรู้เกี่ยวกับโลกยังไม่มากพอ ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงควรที่จะหาข้อมูลให้มากขึ้น โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์จะต้องช่วยกันทำงานเพื่อจะช่วยกันเผยแพร่ความรู้ต่อ ประชาชนทั่วไป ให้เกิดความตระหนัก แต่ไม่ควรตระหนกจนเกินไป ที่ผ่านมา ตนได้ยินเหมือนกันว่ามีเด็ก ๆ เยาวชน แม้กระทั่งเด็กในโรงเรียนอนุบาล ประถม มาพูดถึงเรื่องน้ำท่วมโลก โลกจะแตก ทำให้ตื่นกลัวกันไปใหญ่ จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนกกันมากไป ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยในอดีต จะเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า โลกมีโอกาสล่มสลายไปได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาอีกนับร้อยปีข้างหน้า แต่คงจะไม่ใช่การล่มสลายไปในปีสองปีนี้แน่นอน และเป็นเพียงการทำนายเท่านั้น" คุณหญิงกัลยา กล่าวต่อว่า "วิธี การป้องกัน ก็คือ ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาโลก เพราะขณะที่ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องของ "สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป" อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลกจำนวนมาก ทำให้โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งถูกน้ำท่วม เช่น ที่ จ.สมุทรปราการ เป็นตัวอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องของระดับน้ำที่สูงขึ้น จนทำให้พื้นที่หลายแห่งของโลกจะถูกจมลงในทะเลก็อาจเป็นไปได้ เพราะในอดีตนักวิทยาศาสตร์เคยวาดภาพแผนที่โลกไว้ซึ่งก็ไม่ใช่แผนที่โลกใน ปัจจุบันนี้ หลายทวีปเกิดขึ้นใหม่หลายทวีปก็จมลงทะเลไปแล้ว ดังนั้นการบอกว่าโลกจะจมน้ำก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ถ้าบอกว่าโลกจะแตกในปีนั้นปีนี้อย่างรวดเร็วคงจะเป็นเพียงการจินตนาการใน ภาพยนตร์ ไม่อยากให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนแตกตื่นกันไป" "ขณะ นี้ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เอง ก็พยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโลกเก็บไว้เพื่อทำการศึกษา รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไป หากอยากไขข้อสงสัยอะไรก็สามารถติดต่อขอทราบข้อมูลได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น" คุณหญิงกัลยา กล่าว ขณะที่ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าว ว่า "คงไม่มีใครบอกได้ว่าโลกจะแตกจริงหรือไม่ และโลกจะแตกเมื่อไหร่ เพราะคงไม่มีใครรู้ได้ชัดเจน การที่ตอนนี้มีประเด็นทำให้มีคนออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอาจจะเป็นเพราะคำ ทำนายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำนายของ "นอสตราดามุส" หรือการทำนายของคนอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นการจูงใจทำให้คนหันมาให้ความสนอกสนใจเรื่องนี้มากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึก ได้" "อย่างไรก็ตาม ในส่วนตัวคิดว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่โลกจะแตก หรือล่มสลายไป นอกเสียจากว่าจะมี "อุกกาบาต" วิ่งเข้ามาชนโลกฉับพลัน ขณะนี้นักดาราศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็กำลังจับตามองอยู่ และยังไม่เห็นว่าโลกเราจะอยู่ในภาวะอันตราย" ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว "เรื่อง ของโลกจะแตก หรือเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ส่วนตัวผมว่าเป็นไปได้น้อยมาก หรือหากจะเกิดขึ้นจริง ๆ คิดว่าอาจจะเกิดเพียงจุดใดจุดหนึ่งของโลกเท่านั้น ไม่ได้ทำให้โลกนี้แตกสลายไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน อย่างน้อยเชื่อว่าคนรุ่นเรา ๆ ไม่น่าจะเห็น" ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าวส่งท้าย หวัง ว่าข้อมูลหลาย ๆ ประเด็นที่ได้รวบรวมมาให้อ่านกัน ก็คงจะทำให้เพื่อน ๆ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะกลัวโลกดับสูญลง เรามาช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ ด้วยการรักษาโลกใบนี้ ให้สวยงามน่าอยู่กันดีกว่าค่ะ

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของทุเรียน


ใครที่ชอบทานทุเรียน ทราบหรือไม่ว่าทุเรียนมีประโยชน์หลายอย่าง วันนี้็เรามีความรู้ีเรื่องนี้มาฝากกัน.....
เนื้อทุเรียน

รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี - หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิ เปลือกหนามทุเรียน

รสเฝื่อน นำมาสับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง หรือนำมาเผาทำถ่าน

บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลง ใบทุเรียน


รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิ รากจากต้นทุเรียน


ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วง


รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฎิบัติตามกันได้

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ผลไม้ล้างสารพิษ


ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ.....
แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ
องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก
มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร
ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน
ผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วย อย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธี ไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา


9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”.....

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)
2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ
3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ
4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ
5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)
6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง
8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ
9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

22 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง


ผลว ิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิตสาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

มลฤดี สุขประสานทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยออกมาว่า อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย

2. ไก่ทอดสมุนไพร

3. ทอดมันปลากราย

4. แกงเลียง

5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ

6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว

7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง

8. แกงจืดตำลึง

9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์

10. ส้มตำไทย

11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย


ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่

12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม

13. น้ำพริกลงเรือ

14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ

15. แกงจืดวุ้นเส้น

16. แกงเขียวหวานไก่

17. แกงส้มผักรวม

18. ต้มยำเห็ด


และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ

19. เต้าเจี้ยวหลน

20. น้ำพริกกุ้งสด

21. ต้มยำกุ้ง

22. ยำวุ้นเส้น

ข้อมูลนี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า อาหารไทยไม่แพ้ใครในโลก ทั้งรสชาติและประโยชน์ต่อร่างกาย

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ แบบง่าย ๆ


ไวรัสสำหรับคอมพิวเตอร์ ก็คล้าย ๆ กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดของเรานั่นแหละ นอกจากจะทำร้ายคอมพิวเตอร์ของเรา ยังอาจลุกลามไปถึงเครื่องคนอื่นได้ โดยเฉพาะในออฟฟิศหรือสำนักงาน มาป้องกันไวรัสด้วยวิธีง่าย ๆ นี้ดีกว่า อย่าเปิดอ่านอีเมลแปลก ๆ เวลาที่คุณเช็กอีเมล ถ้าเผอิญเจออีเมล์ชื่อแปลก ที่ไม่รู้จักให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าต้องมีไวรัสแน่นอน แม้ว่าชื่อหัวข้ออีเมลจะดูเป็นมิตรแค่ไหน ก็อย่าเผลอกดเข้าไปเด็ดขาดล่ะ ใช้โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (Anti-virus) ต้องยอมรับว่า ไม่มีโปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัสโปรแกรมใดสมบูรณ์แบบ จะต้องอัพเดตโปรแกรมที่ใช้ตรวจจับและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบคลุมถึงไวรัสชนิดใหม่ ๆ อย่าโหลดเกมมากเกินไป เกมคอมพิวเตอร์จากเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจมีไวรัสซ่อนอยู่ ไม่ควรโหลดมาเล่นมากเกินไป และควรโหลดจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น บางทีเว็บไซต์จะมีเครื่องหมายบอกว่า "No virus หรือ Anti virus" อยู่แบบนี้ถึงจะไว้ใจได้ สแกนไฟล์ต่าง ๆ ทุกครั้งก่อนดาวน์โหลดไฟล์ทุกประเภท ควรทำการสแกนไฟล์ รวมทั้งข้อมูลจากภายนอกก่อนเข้ามาใช้ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น CD, Diskette หรือ Handydrive ต้องใช้โปรแกรมค้นหาไวรัสเสียก่อน หมั่นตรวจสอบระบบต่าง ๆ ควรตรวจสอบระบบต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เช่น หน่วยความจำ, การติดตั้งโปรแกรมใหม่ ๆ ลงไป, อาการแฮงค์ (Hang) ของเครื่องเกิดจากสาเหตุใด บ่อยครั้งหรือไม่ ซึ่งคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกบริการ (Utilities) ต่าง ๆ เพิ่มเติมในเครื่องด้วย


Tip ... รู้ได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้ว

1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้าลงกว่าปกติ

2. คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. อยู่ดี ๆ ข้อมูลบางอย่างก็หายไป

4. ตัวเครื่อง Restart เองโดยไม่ได้สั่ง

5. แป้นพิมพ์ทำงานปกติหรือไม่ทำงานเลย

การอ่านหนังสือขั้นเทพ


พญ.วิจิตรา แนะนำว่า เทคนิคการอ่านเพื่อสร้างความจดจำ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงเริ่มต้น


1. เตรียมพร้อมที่จะอ่าน โดยสร้างความสนใจ และเห็นความสำคัญของสิ่งที่จะอ่าน

2. หาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่มีเสียงรบกวน

3. นั่งตัวตรงที่ขอบเก้าอี้ ไม่พิงพนัก

4. ปิดตาหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อผ่อนคลาย ใช้นิ้วชี้นำข้อความไปเรื่อย ๆ

5. อ่านบทนำ หัวข้อ ของผู้เขียน เพราะจะเป็นการรวบรวมเนื้อหาและขอบเขตของเนื้อหาทั้งหมด

6. ระหว่างอ่านต้องเตือนตนเองว่า เนื้อเรื่องพูดถึงใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

7. อ่านเนื้อหาไม่ต้องอ่านทุกคำ บางครั้งช่วยด้วยการอ่านออกเสียง และที่สำคัญคือ

8. หลังอ่านจบสรุปเนื้อหา ซึ่งตรงนี้สามารถกลับมาทบทวนได้ง่าย ไม่ต้องมานั่งอ่านหมดทั้งหน้า และหากนำไปใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เอ่านเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาทั้งวันกับการอ่านหนังสือหน้าเดียวแล้วก็จำอะไรไม่ได้
หลังการอ่านหนังสือจบ จะต้องมีการทบทวน ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะจากการทดลอง พบว่า หากทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้จำได้ถึง 80% และใช้เวลาน้อยมากในการอ่านทบทวน ซึ่งต่างจากคนที่ทบทวนภายใน 7 วัน จะจำได้เพียง 50% ส่วนคนที่ทบทวนการสอบจะจำได้เพียง 20 - 30% เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยเทคนิคการจำ พญ.จิตราบอกว่าให้ใช้การจำโดยการแต่งเรื่องสนุก ๆ โดยนำคำต่าง ๆ มานำหน้า หรื่อเป็นเรื่องตลก เป็นต้น หรืออีกวิธีหนึ่งคือ การจำโดยใช้แผนที่ หรือที่เรียกว่า Mind Mapping ซึ่งวิธนี้ จะทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการวาดรูปแทนข้อความบางข้อความเพื่อสร้างความจดจำ เทคนิคง่าย ๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล