วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

กลอน ภาษาอังกฤษ


The Four Candles burned slowly.Their Ambiance was so soft youcould hear them speak...

The first candle said, "I Am Peace, but these days, nobodywants to keep me lit.

" Then Peace's flame slowlydiminishes and goes out completely.

The second candle says, "I Am Faith, but these days,

I amno longer indispensable

Then Faith's flame slowlydiminishes and goes out completely.

Sadly the third candle spoke, "I Am Love and I haven't thestrength to stay lit any longer."

"People put me aside and don't understand myimportance.

They even forget to love those who arenearest to them.

" And waiting no longer, Love goes outcompletely.Suddenly...A child enters the room and sees the threecandles no longer burning.

The child begins to cry, "Whyare you not burning? You are supposed to stay lit until the end.

"Then the Fourth Candle spoke gently to the little boy,"Don't be afraid, for I Am Hope, and while I still burn, wecan re-light the other candles.

"With Shining eyes the child took the Candle of Hope andlit the other three candles.

Never let the Flame of Hope go out of your life.

With Hope, no matter how bad things look andare...Peace, Faith and Love can Shine Brightly in our lives.

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

รุ้ง


ก่อนที่ความลับของมันจะถูกเปิดเผยในทางวิทยาศาสตร์ เราสามารถพบเรื่องราวของรุ้งได้ในเรื่องเล่าของวัฒนธรรมต่างๆ แต่ละวัฒนธรรมล้วนมีทฤษฎีของตัวเองที่ใช้อธิบายการเกิดของมัน รุ้งมีชื่อเรียกแตกต่างกันมากมายเช่น ลิ้นพระอาทิตย์ (the tongue of the sun), วิถีแห่งคนตาย (road of the dead), สะพานสายฝน (bridge of the rain), ชายเสื้อแห่งสุริยเทพ (hem of the sun-god's coat), วิถีแห่งเทพสายฟ้า (road of thunder god), สะพานเชื่อมโลกและสวรรค์ (bridge between heaven and earth), หน้าต่างสวรรค์ (window to heaven) และคันศรของพระเจ้า (bow of God) ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่ารุ้งเป็นข้อสัญญาหรือคำสัญญาของพระเจ้าที่ให้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดว่าโลกจะไม่ถูกทำลายจากน้ำท่วมอีกครั้ง


รุ้งกับความเชื่อ
ยังมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับรุ้งเช่นกัน ชนเผ่าหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้เชื่อว่า รุ้งที่เกิดในทะเลถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบนบก มันจะเป็นสัญญาณของวิญญาณชั่วร้ายที่กำลังมองหาเหยื่อ ในแถบยุโรปตะวันออก มีความเชื่อกันว่า นางฟ้าใส่ทองคำไว้ที่ปลายรุ้ง และจะมีเพียงมนุษย์ที่เปลือยเปล่าเท่านั้นที่จะพบทองนั้น เรื่องเล่าเก่าแก่ของชาวโรมาเนียอ้างว่า ที่ปลายของรุ้งที่ตกในแม่น้ำ ใครที่คลานไปและดื่มน้ำบริเวณดังกล่าวจะกลายร่างเป็นเพศตรงข้ามทันที เรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกันกล่าวว่าใครที่ลอดผ่านโค้งรุ้งจะเปลี่ยนเป็นเพศตรงข้ามได้ ในประเทศไทยเองก็มีความเชื่อที่ว่าถ้าชี้นิ้วไปที่รุ้ง นิ้วนั้นจะกุดหรือหายไป
ถึงแม้ว่ารุ้งจะปรากฏอยู่ในเรื่องเล่า ความเชื่อเหนือธรรมชาติ และศาสนาก็ตาม แต่ก็มันก็มีเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้มันเกิดขึ้น รุ้งเป็นผลจากการที่แสงหักเหและสะท้อนออกมาจากเม็ดฝน ในรุ้งปฐมภูมิ (primary rainbow) สีแดงจะอยู่นอกสุดและสีม่วงจะอยู่ในสุดของวง รุ้งทุติยภูมิ (secondary rainbow) จะมีสีที่จางกว่าและมักจะเห็นว่ามันอยู่เหนือ (หรือด้านนอก) ของรุ้งปฐมภูมิ ลำแสงในรุ้งทุติยภูมิจะสัมผัสกับเม็ดฝนในมุมที่สูงกว่ารุ้งปฐมภูมิและมีการสะท้อนถึงสองครั้ง สิ่งนี้เองที่ทำให้สีของรุ้งทุติยภูมิจางกว่าและสีสันจะเรียงกลับกันกับรุ้งปฐมภูมิโดยสีแดงจะอยู่ด้านในสุดและสีม่วงจะอยู่นอกสุดนั่นเอง

ฝนดาวตกเจมินิดส์ ( Geminids Meteor Shower )


ฝนดาวตกเจมินิดส์ ( Geminids Meteor Shower ) หรือฝนดาวตกคนคู่เกิดขึ้นช่วงประมาณวันที่ 6 – 19 ธันวาคมของทุกปี และวันที่ตกจะตกมากที่สุดคือวันที่ 13 -14 ธันวาคม มีอัตราการตกประมาณ 100 ดวงต่อชั่วโมง จุด Radiant ใกลักับดาวคาสเตอร์ (Castor ) ปริมาณดาวตกในวันที่ตกชุกที่สุด 80 จุดเรเดียน อยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ ( Gemini ) ต้นกำเนิดฝนดาวตกเจมินิดส์เกิดจากแกนกลางของดาวหางที่สลายตัวหมดแล้วกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย 3200Phaethon
ฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids Meteor Shower) เป็นฝนดาวตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาฝนดาวตกที่ปรากฏในรอบปี หากไม่นับฝนดาวตกลีโอนิดส์ ซึ่งจะปรากฏให้เห็น ตระการตาทุก ๆ 33-34 ปี เจมินิดส์มีปรากฏให้เห็นในช่วงวันที่ 6-19 ธันวาคม แต่จะมีจำนวนดาวตกสูงสุดในคืนวันที่ 13-14 โดยมีจำนวน ดาวตกสูงสุด 80-100 ดวง/ชั่วโมง อุกกาบาตมีความเร็ว 35 กิโลเมตร/วินาที และมีไฟร์บอล โดยมีเรเดียนท์อยู่ใน "กลุ่มดาวราศีมิถุน" หรือ "กลุ่มดาวคนคู่" (Gemini)
ฝนดาวตกเจมินิดส์มีความแตกต่างจากฝนดาวตกทั่วไป คือมิได้กำเนิดจากธารอุกกาบาตของดาวหาง แต่มันกำเนิดจากธารอุกกาบาตของ ดาวเคราะห์น้อย "3200 ฟีธอน" (3200 Phaethon) อุกกาบาตจึงมีขนาดใหญ่ และมีคาบการเกิดดาวตกยาวนาน เราสามารถมองเห็น ดาวตกจำนวนมากได้ 2-3 วัน ก่อนและหลังวันที่มีจำนวนดาวตกสูงสุด
เจมินิดส์นับเป็นฝนดาวตกที่เหมาะสมน่าจับตาที่สุดสำหรับประเทศไทย เพราะเป็นฝนดาวตกที่มีดาวตกจำนวนมาก และเกิดขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งอากาศดีและท้องฟ้าใส นอกจากการนับดาวตกแล้ว ท่านยังสามารถเพลิดเพลินกับการดูทางช้างเผือก และกลุ่มดาวสว่างที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก