วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553
หูเสื่อม
มีเพลงติดตัวไปทุกที่ คือนิยามของคนเมืองสมัยนี้.....
จากการสำรวจโดยห้องปฏิบัติการทดสอบด้านเสียงนานาชาติของประเทศออสเตรเลีย พบว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ติดการฟังเพลงจากเครื่องเล่นพกพา มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียการได้ยิน เช่นเดียวกับการวิจัยของสถาบันเพื่อคนหูพิการในอังกฤษ ก็คาดเดาว่าคนในวัย 18-24 ปีจะหูตึงมากขึ้น ใกล้เคียงกับคนแก่ที่หูเสื่อมไปตามวัย
ไม่เพียงแต่การใช้หูฟังเพื่อการฟังเพลงเท่านั้น พฤติกรรมการติดคุยโทรศัพท์มือถือ และการต้องใช้เสียงดังคุยกันในสถานที่ที่อึกทึก การต้องเผชิญกับมลภาวะทางเสียง เช่น เสียงเครื่องยนต์ ล้วนเป็นปัจจัยต่ออาการแก้วหูเสื่อม ซึ่งอาจเริ่มต้นจากอาการหูอื้อบ่อย ๆ ได้ยินเสียงแว่ว เสียงอื้ออึง หรือเสียงแตก ๆ ภายในหู
วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการปกป้องหูจากเสียงดังภายนอก หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน รวมถึงการใช้ที่อุดหูสำหรับกิจกรรมในพื้นที่เสียงดัง เช่น ยิงปืน การทำงานกับเครื่องจักร และถ้าคุณยังรักการฟังเพลงแบบส่วนตัว ก็ขอแนะนำให้เปิดเสียงไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ของเสียงสูงสุด และไม่ควรฟังเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน
ประเทศไทยเองได้ออกมารณรงค์ให้คนหันมาตระหนักกับภาวะการสูญเสียการได้ยินมากขึ้น และการใช้ที่อุดหูเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลาย ๆ ประเทศต้องการรณรงค์ให้คนหันมาให้ความสำคัญพอ ๆ กับการคาดเข็มขัดนิรภัย และสวมหมวกกันน็อก
วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
12 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง
ผลวิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิตสาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้.....
มลฤดี สุขประสานทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยออกมาว่า
อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่
1. คะน้าน้ำมันหอย
2. ไก่ทอดสมุนไพร
3. ทอดมันปลากราย
4. แกงเลียง
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ
6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว
7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง
8. แกงจืดตำลึง
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
10. ส้มตำไทย
11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย
ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่
12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
13. น้ำพริกลงเรือ
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
15. แกงจืดวุ้นเส้น
16. แกงเขียวหวานไก่
17. แกงส้มผักรวม
18. ต้มยำเห็ด
และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ
19. เต้าเจี้ยวหลน
20. น้ำพริกกุ้งสด
21. ต้มยำกุ้ง
22. ยำวุ้นเส้น
ข้อมูลนี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า อาหารไทยไม่แพ้ใครในโลก ทั้งรสชาติและประโยชน์ต่อร่างกาย
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เมืองน่าอยู่ *-*
นิตยสารอีโคโนมิสต์ สื่อมวลชนทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจของโลก สัญชาติอังกฤษ เปิดผลการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก โดยหน่วยงานของนิตยสารที่ชื่อ Economist Intelligence Unit.....
จากที่สำรวจ 140 เมืองทั่วโลก ผลออกมาว่า แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เจ้าภาพจัดมหกรรมโอลิมปิกฤดูหนาวอยู่ในตอนนี้ รั้งอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ได้ 98 จาก 100 คะแนน
การคิดคะแนนวัดจากองค์ประกอบต่างๆ 30 รายการ เช่น เสถียรภาพความปลอดภัย สวัสดิการสุขภาพ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสาธารณูปโภค ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ
จอน โคปสเตก บ.ก. แจกแจงว่า แวนคู เวอร์ได้คะแนนด้านงานวัฒนธรรมและกีฬาสูงมาก จึงมีแต้มเหนือกว่าเมืองอื่นๆ
อันดับท็อปเทนของการจัดอันดับครั้งนี้ ออสเตรเลียกวาดไปถึง 4 อันดับ จากเมลเบิร์น ซิดนีย์ เพิร์ธ อาดีเลด ที่เหลือได้แก่ คัลการี ของแคนาดา เวียนนา ของออสเตรีย (อันดับ 2) เฮลซิงกิ ของฟินแลนด์ และโอ๊กแลนด์ ของนิวซีแลนด์
อันดับรั้งท้ายได้แก่ กรุงฮารา ประเทศซิมบับเว ได้เพียง 37 คะแนน
ด้านเอเชีย จีน มี 9 เมืองที่มีอันดับใกล้ๆ กัน คือ เทียนจิน ที่ 72 ซูโจว ที่ 74 ปักกิ่ง ที่ 76 เสิ่นเจิ้น ที่ 82 เซี่ยงไฮ้ ที่ 83 ต้าเหลียน ที่ 86 ชิงเตา ที่ 99 ส่วน ไทเป ของไต้หวัน อยู่อันดับ 64
ส่วนกรุงเทพฯ อยู่ที่ อันดับ 101 ตกลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ
ในภูมิภาคเดียวกันนี้ สิงคโปร์ นำโด่งที่ 55 กัวลาลัมเปอร์ ที่ 78 ส่วน กรุงมะนิลาฟิลิปปินส์ ได้ที่ 107 ฮานอย เวียดนามได้ที่ 123 และ จาการ์ตา ของอินโดนีเซียรั้งที่ 125
ผลคะแนนดังกล่าวบ่งบอกว่า บางเมืองได้คะแนนดีมากด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม แต่ด้านสวัสดิการสุขภาพและความปลอดภัยต่ำ
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
4 ล้อ ในปี 2553
ป๊อปปูลาร์ ไซเอินซ์" นิตยสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มดังของสหรัฐอเมริกา ฉบับรับปีใหม่ มกราคม 2553 มีเรื่องน่าสนใจหลายชิ้น.....
1 ในบทความเด่น ได้แก่ รายงานพิเศษพยากรณ์ทิศทางความก้าวหน้าวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ
ประกอบด้วยการแพทย์ การบิน อวกาศ สิ่งแวดล้อม นวัต กรรมเพื่อความบันเทิง
รวมถึงการประเมินแนวโน้มเทคโนโลยี "พลังงานเชื้อเพลิงและรถยนต์" ในอนาคต ซึ่งกองบรรณาธิการป๊อปปูลาร์ ไซเอินซ์ บอกไว้ดังนี้
1. ผู้ผลิตรถยนต์ระดับขาใหญ่ของวงการจะหันมาทุ่มเทพัฒนาและจำหน่าย "รถยนต์พลังไฟฟ้า" มากขึ้น ทั้งไฟฟ้าลูกผสม (กับน้ำมัน) และไฟฟ้าล้วนๆ
ยกตัวอย่างเช่น รถรุ่น "โวลต์" ของค่ายจีเอ็ม/เชฟโรเลต ที่ซุ่มพัฒนามาหลายปี กระทั่งข่าวล่าสุดระบุว่า จีเอ็มจะเริ่มเดินเครื่องสายพานการผลิต "โวลต์" ในช่วงฤดูหนาว
จุดเด่น คือแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนในตัวรถ เมื่อประจุไฟเต็มที่จะวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าไปได้ 64-65 กิโลเมตร จากนั้นสมองกลคอมพิวเตอร์ในรถจะเปลี่ยนหรือตัดเข้าสู่ระบบน้ำมันดีเซล
ราคาขายในสหรัฐเบื้องต้นทราบว่าเคาะอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 ล้าน
แต่เมื่อได้รับการสนับสนุนทางภาษีจากรัฐบาลกลางราคาจะลดลงได้อีกเกือบ 3 แสนบาท
ขณะเดียวกันค่าย "นิสสัน" จากญี่ปุ่น ก็รถยนต์ไฟฟ้า รุ่น "เดอะลีฟ" ลงมาสู้ศึก มีจุดแข็งตรงแบตเตอรี่ลูกใหญ่กว่า จึงวิ่งได้ไกล 160 กิโลเมตร/การประจุไฟเต็ม 1 ครั้ง
2. กระแสอื่นๆ ด้านเทคโนโลยีรถยนต์ "ป๊อปปูลาร์ ไซเอินซ์" เผยว่า บริษัทเดลต้ามอเตอร์ส สปอร์ต กำลังพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งตรง แชสซี" จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเอาไว้คอยขับเคลื่อนล้อ เมื่อรถวิ่งไปก็ชาร์จไฟเก็บไว้ใช้ตามไปด้วย
ส่วนบริษัท โกเมกซิส ประเทศเนเธอร์แลนด์ อยู่ระหว่างทดลองทำให้ "รถยนต์ติดแก๊ซธรรมชาติ" ทำความเร็วสูงกว่าเดิม นั่นคือ เพิ่มเกียร์เข้าไปบนตำแหน่ง เพลาข้อเหวี่ยง หรือ crancksharp
ด้านกลุ่มทีม ยูแอลวี-3 ในรัฐมินเนโซตา สหรัฐ ก็ทดลองระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมรถ ที่สั่งหยุดการทำงานของ "กระบอกสูบ" บางตัวยามรถมีน้ำหนักเบา ช่วยประหยัดน้ำมันไปในตัว
นอกจากนั้นคาดว่า ตัวรถรถยนต์ประเภททำจากเหล็กล้วนๆ...จะถูกเปลี่ยนมาใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา แต่คุณสมบัติช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดี และลดความเสียหายจากอุบัติเห
Google Pad
หลังจากแอปเปิล (Apple) แนะนำไอแพด (iPad) ให้ชาวโลกได้รู้จักเพียงไม่นาน เหล่าคู่แข่งในตลาดต่างก็รีบนำแท็บเล็ต (tablet) ของตนออกมาอวดชาวโลกกันเป็นแถว แต่เดี๋ยวก่อน เราลืมคู่แข่งฟ้าประทานอย่างกูเกิ้ล (Google) ไปได้อย่างไร ซึ่งล่าสุดทางบริษัทได้แนะนำยูสเซอร์อินเตอร์เฟซของ Google Pad ออกมาให้ได้เห็นกันแล้ว.....
แน่นอนว่า Google Pad จะต้องทำงานด้วยระบบปฏิบัติการโครมโอเอส (Chrome OS) ซึ่งเมื่อวานนี้ Glen Murphy ดีไซเนอร์กูเกิ้ลโครมได้โพสต์แนวคิดของ"ส่วนติดต่อผู้ใช้" (UI: User Interface) ในรูปแบบของวิดีโอคลิป พร้อมด้วยภาพตัวอย่างบนเว็บไซต์ Chromium เพื่ออวดสายตาชาวโลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม คลิปที่เห็นเป็นแค่คอนเซปต์ของการทำงานของ UI เท่านั้น เนื่องจาก Chrome OS ไม่ได้ใช้กับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ขนาดของแท็บเล็ตที่เห็นในคลิปก็ดูจะใหญ่เกินจริงไปนิด แต่เพื่อให้ภาพการทำงานที่ชัดเจนของอินเตอร์เฟซนั่นเอง เอาเป็นว่า เราค่อยๆ ติดตาม Google Pad กันต่อไป งานนี้เชื่อว่ากูเกิ้ลคงไม่ยอมแพ้ไอแพดง่ายๆ อย่างแน่นอน...แต่อย่างน้อยตอนนี้คงต้องมีอะไรออกมาให้เห็นกันบ้าง
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
13 ประการ เพื่อการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝาก เพื่อเป็นแนวทางในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับทั้ง 13 ประการนี้ เป็นข้อแนะนำง่ายๆ ที่ท่านสามารถนำมาปฏิบัติกับตัวเองได้เลย ลองศึกษาดูซิว่า มีข้อให้ไหนบ้างที่ตรงกับตัวท่าน หรือข้อไหนที่เรามีอยู่ในตัวเราแล้วไม่ต้องปรับมาก.....
รับผิดชอบ รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน
เริ่มต้นดี ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม
กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น
วางแผนและจัดการ มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี
มีวินัยต่อตนเอง เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม
อย่าล้าสมัย วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์
ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป
เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน
มุ่งมั่น จดจ่อต่อบทเรียน มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น
เป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง
มีความกระตือรือล้น ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน
มีสุขภาพดี อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ
เรียนอย่างมีความสุข พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้
ที่มาข้อมูล : http://www.narak.com
ที่มาเว็บ : https://www.myfirstbrain.com/tip.aspx?Id=55511
รับผิดชอบ รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน
เริ่มต้นดี ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม
กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น
วางแผนและจัดการ มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี
มีวินัยต่อตนเอง เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม
อย่าล้าสมัย วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์
ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป
เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน
มุ่งมั่น จดจ่อต่อบทเรียน มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น
เป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง
มีความกระตือรือล้น ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน
มีสุขภาพดี อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ
เรียนอย่างมีความสุข พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้
ที่มาข้อมูล : http://www.narak.com
ที่มาเว็บ : https://www.myfirstbrain.com/tip.aspx?Id=55511
หวานเป็นยา
น้ำผึ้งถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่หลายคนจะนึกถึงเพื่อมอบให้กับญาติมิตรในเทศกาล คริสต์มาสและปีใหม่ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เก็บได้นาน แถมนำไปรับประทานได้หลากรูปแบบ แต่ก่อนจะเลือกของขวัญจากธรรมชาติชนิดนี้ ลองมาดูสรรพคุณของน้ำผึ้งกันอีกที เผื่อเอาไว้บอกกล่าวเล่าสู่ให้เป็นมูลค่าเพิ่มสำหรับวันพิเศษที่กำลังจะมาถึง.....
น้ำผึ้ง เกิดจากการที่ผึ้งลำเลียงน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติ แล้วใช้กรด Enzyme ใน ห้องผึ้งเพื่อเปลี่ยนเกสรดอกไม้เหล่านั้นให้เป็นน้ำผึ้ง ดังนั้น น้ำผึ้งจากแต่ละแหล่งจึงแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบแต่ละชนิด และน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารแตก ต่างจากผึ้งเลี้ยง ซึ่งจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมทำให้คุณค่าลดน้อยลงไปน. พ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล เขียนคอลัมน์ แพทย์แผนจีน ลงในเว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน โดยอ้างถึงคัมภีร์ชื่อ เปิ่น-เฉา-กัง-มู่ ที่เขียนโดย หลี่สือเจิน ว่ามีการกล่าวถึงความแตกต่างของน้ำผึ้งที่ได้จากเกสรดอกไม้ชนิดต่าง ๆ กัน ทำให้มีสรรพคุณแตกต่างกันด้วย เช่น น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลำไย บำรุงและเลือด บำรุงสมอง ช่วยความจำ ทำให้นอนหลับ น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลิ้นจี่ แก้กระหาย กระตุ้นน้ำลาย บำรุงหัวใจและไต น้ำผึ้งจากเกสร เบญจมาศป่า ขับร้อนขับไฟ ขับลมแก้พิษ น้ำผึ้งจากเกสร อบเชยป่า ขับร้อนกระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท น้ำผึ้งจากเกสรของ ส้ม ลดบวม-ขับพิษ แก้กระหายน้ำมนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งมานาน หลักฐานเก่าแก่สุดที่ถูกค้นพบ คือภาพเขียนผนังถ้ำวาเลนเซียในประเทศสเปนอายุกว่า 10,000 ปี ที่เป็นภาพผู้หญิงกำลังปีนบันไดซึ่งพาดอยู่กับต้นไม้ มือหนึ่งถือตะกร้า อีกมือเอื้อมคว้ารวงผึ้งที่ห้อยอยู่กับกิ่งไม้อีกหลายชาติมีการบันทึกเรื่องราวของน้ำผึ้งไว้ในประวัติศาสตร์ รวมทั้งในด้านศาสนา โดยความเชื่อฮินดู น้ำผึ้งถือเป็นหนึ่งในยาอายุวัฒนะ และถูกนำมาใช้เพื่อบูชาพระเจ้า ไบเบิลก็เขียนถึงน้ำผึ้งว่าเป็นอาหารที่มีสรรพคุณในทำนองเดียวกัน ขณะที่พุทธประวัติมีบันทึกเรื่องของน้ำผึ้งว่าเป็นส่วนผสมในข้าวมธุปายาส ซึ่งถวายแด่พระพุทธเจ้าช่วยให้พระวรกายของพระองค์กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงในทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้น้ำผึ้งผสมผงอบเชย เพื่อรักษาโรคและบำรุงร่างกายมานานหลายศตวรรษ ด้านตำราจีนของ หลี่สือเจิน บันทึกสรรพคุณ 5 ประการของน้ำผึ้งกล่าวคือ ขับร้อน บำรุงส่วนกลาง (กระเพาะอาหารและม้าม) ขับพิษ รักษาแผล ทำให้ชุ่มชื่นลดความแห้งแก้ไอ และแก้ปวดขณะที่แพทย์แผนไทยใช้น้ำผึ้งเพื่อช่วยแต่งรสยา ให้ยามีรสอร่อยขึ้นและช่วยชูกำลัง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในน้ำกระสายยา ที่ช่วยทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไตและกระจายเลือด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น บางครั้งน้ำผึ้งถูกนำมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอนอีกด้วยตำนานและเรื่องเล่าทางศาสนาดูเหมือนจะอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ของยุคปัจจุบัน ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่า น้ำผึ้งแท้มีองค์ประกอบของน้ำตาล Dextrose และ Fructose ราวร้อยละ 50-90 ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและทางยาสูงกว่าน้ำตาล Sucrose ซึ่ง มีอยู่ประมาณร้อยละ 0.1-10 นอกจากนี้น้ำผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินอี วิตามินเค และวิตามินซีจากธรรมชาติ รวมทั้งสารอาหารอื่น ๆ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมัน และเกลือแร่ต่างๆ อย่างสังกะสี และทองแดงในอเมริกาและแคนาดา มีการรักษาและป้องกันโรคหัวใจ โดยให้ผู้ป่วยรับประทานขนมปังทาน้ำผึ้งผสมผงอบเชยทุกวัน นอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว ยังช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติข้อมูลจากมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งสำหรับท่านชายที่สมรรถภาพหย่อนยาน ว่าน้ำผึ้งเพียว ๆ รับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน น้ำผึ้งจะช่วยให้เชื้ออสุจิคึกคักขึ้น ถ้าย้อนไปดูสูตรโบราณมีการดองกล้วยน้ำว้ากับน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มพลังบำรุงร่างกายด้วยเช่นกันมีคำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานน้ำผึ้ง ได้แก่1. ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าดื่มโดยผสมน้ำอุ่น จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร และทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็นจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร รวมทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ2. ควรดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง เพราะการดื่มหลังอาหารทันที จะทำให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นน้ำย่อยกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นอีก3.ควรดื่มก่อนนอน เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง และนอนหลับยากหวานอร่อย แถมมีสารพัดสรรพคุณ เทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง ถ้ากำลังมองหาของขวัญเพื่อคนพิเศษ น้ำผึ้งจึงอาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจที่มา วิชาการ.คอม
น้ำผึ้ง เกิดจากการที่ผึ้งลำเลียงน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติ แล้วใช้กรด Enzyme ใน ห้องผึ้งเพื่อเปลี่ยนเกสรดอกไม้เหล่านั้นให้เป็นน้ำผึ้ง ดังนั้น น้ำผึ้งจากแต่ละแหล่งจึงแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบแต่ละชนิด และน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารแตก ต่างจากผึ้งเลี้ยง ซึ่งจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมทำให้คุณค่าลดน้อยลงไปน. พ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล เขียนคอลัมน์ แพทย์แผนจีน ลงในเว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน โดยอ้างถึงคัมภีร์ชื่อ เปิ่น-เฉา-กัง-มู่ ที่เขียนโดย หลี่สือเจิน ว่ามีการกล่าวถึงความแตกต่างของน้ำผึ้งที่ได้จากเกสรดอกไม้ชนิดต่าง ๆ กัน ทำให้มีสรรพคุณแตกต่างกันด้วย เช่น น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลำไย บำรุงและเลือด บำรุงสมอง ช่วยความจำ ทำให้นอนหลับ น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลิ้นจี่ แก้กระหาย กระตุ้นน้ำลาย บำรุงหัวใจและไต น้ำผึ้งจากเกสร เบญจมาศป่า ขับร้อนขับไฟ ขับลมแก้พิษ น้ำผึ้งจากเกสร อบเชยป่า ขับร้อนกระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท น้ำผึ้งจากเกสรของ ส้ม ลดบวม-ขับพิษ แก้กระหายน้ำมนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งมานาน หลักฐานเก่าแก่สุดที่ถูกค้นพบ คือภาพเขียนผนังถ้ำวาเลนเซียในประเทศสเปนอายุกว่า 10,000 ปี ที่เป็นภาพผู้หญิงกำลังปีนบันไดซึ่งพาดอยู่กับต้นไม้ มือหนึ่งถือตะกร้า อีกมือเอื้อมคว้ารวงผึ้งที่ห้อยอยู่กับกิ่งไม้อีกหลายชาติมีการบันทึกเรื่องราวของน้ำผึ้งไว้ในประวัติศาสตร์ รวมทั้งในด้านศาสนา โดยความเชื่อฮินดู น้ำผึ้งถือเป็นหนึ่งในยาอายุวัฒนะ และถูกนำมาใช้เพื่อบูชาพระเจ้า ไบเบิลก็เขียนถึงน้ำผึ้งว่าเป็นอาหารที่มีสรรพคุณในทำนองเดียวกัน ขณะที่พุทธประวัติมีบันทึกเรื่องของน้ำผึ้งว่าเป็นส่วนผสมในข้าวมธุปายาส ซึ่งถวายแด่พระพุทธเจ้าช่วยให้พระวรกายของพระองค์กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงในทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้น้ำผึ้งผสมผงอบเชย เพื่อรักษาโรคและบำรุงร่างกายมานานหลายศตวรรษ ด้านตำราจีนของ หลี่สือเจิน บันทึกสรรพคุณ 5 ประการของน้ำผึ้งกล่าวคือ ขับร้อน บำรุงส่วนกลาง (กระเพาะอาหารและม้าม) ขับพิษ รักษาแผล ทำให้ชุ่มชื่นลดความแห้งแก้ไอ และแก้ปวดขณะที่แพทย์แผนไทยใช้น้ำผึ้งเพื่อช่วยแต่งรสยา ให้ยามีรสอร่อยขึ้นและช่วยชูกำลัง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในน้ำกระสายยา ที่ช่วยทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไตและกระจายเลือด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น บางครั้งน้ำผึ้งถูกนำมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอนอีกด้วยตำนานและเรื่องเล่าทางศาสนาดูเหมือนจะอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ของยุคปัจจุบัน ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่า น้ำผึ้งแท้มีองค์ประกอบของน้ำตาล Dextrose และ Fructose ราวร้อยละ 50-90 ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและทางยาสูงกว่าน้ำตาล Sucrose ซึ่ง มีอยู่ประมาณร้อยละ 0.1-10 นอกจากนี้น้ำผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินอี วิตามินเค และวิตามินซีจากธรรมชาติ รวมทั้งสารอาหารอื่น ๆ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมัน และเกลือแร่ต่างๆ อย่างสังกะสี และทองแดงในอเมริกาและแคนาดา มีการรักษาและป้องกันโรคหัวใจ โดยให้ผู้ป่วยรับประทานขนมปังทาน้ำผึ้งผสมผงอบเชยทุกวัน นอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว ยังช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติข้อมูลจากมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งสำหรับท่านชายที่สมรรถภาพหย่อนยาน ว่าน้ำผึ้งเพียว ๆ รับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน น้ำผึ้งจะช่วยให้เชื้ออสุจิคึกคักขึ้น ถ้าย้อนไปดูสูตรโบราณมีการดองกล้วยน้ำว้ากับน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มพลังบำรุงร่างกายด้วยเช่นกันมีคำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานน้ำผึ้ง ได้แก่1. ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าดื่มโดยผสมน้ำอุ่น จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร และทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็นจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร รวมทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ2. ควรดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง เพราะการดื่มหลังอาหารทันที จะทำให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นน้ำย่อยกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นอีก3.ควรดื่มก่อนนอน เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง และนอนหลับยากหวานอร่อย แถมมีสารพัดสรรพคุณ เทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง ถ้ากำลังมองหาของขวัญเพื่อคนพิเศษ น้ำผึ้งจึงอาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจที่มา วิชาการ.คอม
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553
ใส่ใจการ "เคี้ยวอาหาร" กันสักนิด
"เคี้ยวอาหาร" ช้าๆ สุขภาพดี-สมองแข็งแรง
เรื่องเล็กๆ ที่ผู้คนอาจมองข้ามอย่าง "การเคี้ยวอาหาร" กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลดีหลายประการต่อสุขภาพ ถ้าเคี้ยวให้ถูก-เคี้ยวให้เป็น... ไม่ใช่แค่เคี้ยวๆ กลืน!
ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเว็บไซต์ส่งเสริมความรู้วิทยาศาสตร์ "วิชาการดอทคอม" รวบรวมผลการศึกษาทางแพทย์ ซึ่งยืนยันผลดีของการฝึกนิสัยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนลงสู่กระเพาะ
เพราะข้อดีที่เห็นชัดเจนจะช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง
"การเคี้ยวให้ช้าลง" ยังมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน เนื่องจากไปช่วยกระตุ้นให้ "ต่อมน้ำลาย" และ "ต่อมใต้หู" หลั่งฮอร์โมนออกมา นอกจากนั้น ยังช่วยกระตุ้นพลังแห่งการขบคิดและสมาธิ ตรงข้ามกับผู้ที่เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวเร็วไป สมองก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ สุขภาพที่ดีและมีอายุยืนยาว
โดยประโยชน์จากการเคี้ยวอาหารให้ช้าลง จะมีผลต่อดีสมองและร่างกาย ดังนี้
1. เคี้ยวอาหารประมาณ 30 ครั้งในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อย จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการอารมณ์หงุดหงิด เครียด และโมโหง่าย
2. เคี้ยว 50 ครั้ง จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่มากเกินความจำเป็นดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
3. เคี้ยว 60 ครั้ง เหมาะสำหรับการเคี้ยวอาหารที่มีกากใยมากเกินไป ช่วยลดอาการท้องผูก การทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เคี้ยว 80 ครั้ง ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น มีความจำดีขึ้น สามารถจดจำและจำแนกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ ต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
5. เคี้ยว 100 ครั้ง ทำให้คุณจัดการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สงบ เยือกเย็น กินน้อยลง แต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก อีกทั้งช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ
6. เคี้ยว 150 ครั้ง ระบบการทำงานกระเพาะและลำไส้ดีขึ้น และช่วยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ
7. เคี้ยว 200 ครั้ง ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อ จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้สมองขบคิดกระบวนการคาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
ฉะนั้น จึงไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กๆ อย่างการเคี้ยวอาหาร เพราะส่งผลดีต่อทั้งสมองและสุขภาพของคนเรา โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรเลย เพียงแค่เสียเวลาเคี้ยวเท่านั้นเอ
เรื่องเล็กๆ ที่ผู้คนอาจมองข้ามอย่าง "การเคี้ยวอาหาร" กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลดีหลายประการต่อสุขภาพ ถ้าเคี้ยวให้ถูก-เคี้ยวให้เป็น... ไม่ใช่แค่เคี้ยวๆ กลืน!
ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเว็บไซต์ส่งเสริมความรู้วิทยาศาสตร์ "วิชาการดอทคอม" รวบรวมผลการศึกษาทางแพทย์ ซึ่งยืนยันผลดีของการฝึกนิสัยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนลงสู่กระเพาะ
เพราะข้อดีที่เห็นชัดเจนจะช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง
"การเคี้ยวให้ช้าลง" ยังมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน เนื่องจากไปช่วยกระตุ้นให้ "ต่อมน้ำลาย" และ "ต่อมใต้หู" หลั่งฮอร์โมนออกมา นอกจากนั้น ยังช่วยกระตุ้นพลังแห่งการขบคิดและสมาธิ ตรงข้ามกับผู้ที่เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวเร็วไป สมองก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ สุขภาพที่ดีและมีอายุยืนยาว
โดยประโยชน์จากการเคี้ยวอาหารให้ช้าลง จะมีผลต่อดีสมองและร่างกาย ดังนี้
1. เคี้ยวอาหารประมาณ 30 ครั้งในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อย จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการอารมณ์หงุดหงิด เครียด และโมโหง่าย
2. เคี้ยว 50 ครั้ง จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่มากเกินความจำเป็นดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
3. เคี้ยว 60 ครั้ง เหมาะสำหรับการเคี้ยวอาหารที่มีกากใยมากเกินไป ช่วยลดอาการท้องผูก การทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เคี้ยว 80 ครั้ง ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น มีความจำดีขึ้น สามารถจดจำและจำแนกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ ต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
5. เคี้ยว 100 ครั้ง ทำให้คุณจัดการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สงบ เยือกเย็น กินน้อยลง แต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก อีกทั้งช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ
6. เคี้ยว 150 ครั้ง ระบบการทำงานกระเพาะและลำไส้ดีขึ้น และช่วยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ
7. เคี้ยว 200 ครั้ง ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อ จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้สมองขบคิดกระบวนการคาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
ฉะนั้น จึงไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กๆ อย่างการเคี้ยวอาหาร เพราะส่งผลดีต่อทั้งสมองและสุขภาพของคนเรา โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรเลย เพียงแค่เสียเวลาเคี้ยวเท่านั้นเอ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)