วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำเพื่อสุขภาพ


ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3-7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน การขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง.....
หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่น ควรดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำทั้งหมด 10 แก้ว โดยตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนสายดื่มอีก 2 แก้ว ตอนบ่ายและตอนเย็นดื่มครั้งละ 3 แก้ว และก่อนเข้านอนดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายขึ้น นอกเหนือจากน้ำเปล่าแล้ว คุณ ๆ สามารถดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ไม่จำกัด ข้อควรจำคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอ ก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อย รับรองสบายท้อง ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลา เป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะเวิร์กกว่า

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โรคเอ็มเอส โรคร้ายของหนุ่มสาว


โรคเอ็มเอส หรือ โรคปลอกประสาทอักเสบ หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลาย เคยมีอาการรู้สึกเหน็บชา ไม่มีแรง เห็นภาพซ้อน เดินทรงตัวผิดปกติบ้างไหมเอ่ย ถ้าเคยมีอาการดังที่กล่าวมา คุณอาจจะเสี่ยงต่อการเป็น โรคเอ็มเอส ได้ แล้ว โรคเอ็มเอส คืออะไรกันล่ะ ไปรู้จักกันดีกว่าค่ะ.....
โรคเอ็มเอส หรือโรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple sclerosis : MS) หรือชื่อภาษาไทยว่า โรคปลอกประสาทอักเสบ เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งระบบประสาทส่วนกลางนี้จะประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา เมื่อเกิดการอักเสบ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง สำหรับในประเทศไทย พบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ได้ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่า เป็นโรคที่มีความรุนแรง เพราะหากปล่อยไว้นาน ก็อาจพิการได้ถึงร้อยละ 50สาเหตุของ โรคเอ็มเอส สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิด โรคเอ็มเอส นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่า โรคเอ็มเอส เกิดจากปัจจัยหลัก คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียบางชนิด ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ระหว่างเซลล์ร่างกายกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้แทนที่ภูมิต้านทานจะทำลายเชื้อโรคเพียงอย่างเดียว กลับไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาทด้วย จนเกิดอาการอักเสบขึ้นมากลุ่มเสี่ยง โรคเอ็มเอส โรคเอ็มเอส มักพบมากในกลุ่มคนอายุน้อย วัยหนุ่มสาว หรือวัยทำงาน คือช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี ขณะที่อายุน้อยกว่า 12 ปี หรือมากกว่า 55 ปี พบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส น้อยมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงเป็น โรคเอ็มเอส มากกว่าผู้ชายถึงครึ่งเท่าตัว เนื่องจากฮอร์โมนมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันทั่วโลกพบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ประมาณ 2,500,000 คน และพบในประเทศไทยน้อยมาก ส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นต้นอาการของ โรคเอ็มเอส ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จะมีอาการหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดโรค เช่น หากเกิดที่เส้นประสาทตา จะส่งผลต่อการมองเห็น อาจสูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากเส้นประสาทตาอักเสบ จึงทำให้ปวดตา ตามัว ภายในเวลา 1-2 นาที หากเกิดที่ไขสันหลัง หรือสมอง อาจมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งตัว แขนขาไม่มีแรง เหน็บชา ปวด หรือปัสสาวะไม่ออก ขึ้นอยู่กับว่าเกิดที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนไหนของร่างกาย ถ้าเป็นที่สมองส่วนกลางที่ควบคุมการทรงตัว คนไข้อาจมีอาการหัวหมุน หรือวิงเวียนศีรษะได้แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้หากเป็นมากอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกาย จนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้ ใน ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ จะมีความผิดปกติทางสมองประมาณ 30-70% โดยเฉพาะด้านการกะระยะทาง ความจำ ความเร็วในการประมวลผล และการบริหารงาน ทั้งการแก้ปัญหา การวางแผน การจัดลำดับงาน เป็นต้น ทั้งนี้ โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส แต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และผู้ป่วย โรคเอ็มเอส ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะเกิดอาการขึ้นมาเมื่อไหร่ ลักษณะเช่นนี้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามสามารถจำแนก โรคเอ็มเอส ตามรูปแบบและความถี่ของอาการได้ ดังนี้ 1.โรคเอ็มเอส ชนิดที่เป็นๆ หายๆ (Relapsing – Remitting MS หรือ RRMS) 2.โรคเอ็มเอส แบบที่อาการค่อยรุดหน้าในภายหลัง (Secondary Progressive MS หรือ SPMS) 3.โรคเอ็มเอส แบบที่มีอาการค่อยๆ รุดหน้าตั้งแต่เริ่ม (Primary Progressive MS หรือ PPMS) 4.โรคเอ็มเอส ระยะเริ่มแรก (Benign MS)การวินิจฉัย โรคเอ็มเอส การวินิจฉัย โรคเอ็มเอส ของแพทย์เฉพาะทางประกอบด้วยหลายวิธี คือ 1.การทดสอบทางประสาทวิทยา (Neurological examination) เช่น สอบถามประวัติอาการในอดีต ตรวจการทำงานของตา การทรงตัว การรับสัมผัส และปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (reflex action) เป็นต้น 2.การใช้เครื่องเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging; MRI) ตรวจสแกน ทำให้สามารถมองเห็นภาพของสมองหรือไขสันหลังตำแหน่งที่เยื่อไมอีลินถูกทำลายและมีการสลายตัวเห็นเป็นรอยแผลเป็นในภาพ 3.การทดสอบทางสรีระวิทยาไฟฟ้าของสมองที่เรียกว่า "Evoked potentials" คือ การตรวจสอบความเร็วจากสิ่งกระตุ้น เป็นต้นว่า เสียงหรือภาพที่ส่งไปยังสมอง หรือความเร็วของการสั่งการจากสมองไปยังอวัยวะอื่นๆ ว่ามีความล่าช้ากว่าปกติหรือไม่อย่างไร 4.การเจาะไขสันหลังที่เรียกว่า "Lumbar puncture" เพื่อดูดเอาน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ไปตรวจ เพื่อพิสูจน์ว่าเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีจำนวนมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามัน
ทำงานมากขึ้นเกิดปฏิริยาเล่นงานโจมตีประสาทส่วนกลางการรักษา โรคเอ็มเอส ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา โรคเอ็มเอส ให้หายขาด เนื่องจากมีแผลเป็นในระบบประสาทเกิดขึ้น ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ โดยชะลอให้อาการต่างๆ ทุเลาลง ด้วยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ หรือยาลดความรุนแรงของโรคในกลุ่ม Interferon bata หรือยากดภูมิคุ้มกันบางตัว แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา นอกจากนี้ยังมีการแพทย์ทางเลือกเพื่อจะช่วยทุเลาอาการ เช่น การฝังเข็ม (acupuncture), ไคโรแพรกติก (chiropractic),ใช้ยาสมุนไพร (herbal medicine),แนวการรักษาแบบโฮมิโอพาธี (homeopathy) และแนวการรักษาแบบออสทีโอพาธี (osteopathy) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก โรคเอ็มเอส ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นคนที่เคยเป็นแล้ว ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นซ้ำ และลดความรุนแรงของโรค ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการซ้ำ ข้อปฏิบัติตัวในการป้องกัน โรคเอ็มเอส เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดของ โรคเอ็มเอส อย่างแน่ชัด ทำให้ไม่ทราบว่าจะป้องกัน โรคเอ็มเอส นี้ได้อย่างไร ดังนั้นการดูแลสุขภาพตัวเอง ทั้งใจและกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ อย่าเครียด เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้คือวิธีป้องกัน โรคเอ็มเอส ที่ดีที่สุดค่ะขอขอบคุณ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เก็บโลกไว้ให้ลูกหลานด้วย “10 วิถีใช้ชีวิตพอเพียง”

1. กินข้าวให้หมดจาน อาหารที่เหลือทิ้ง หมายถึงการทิ้งพลังงานในการปรุง และการกำจัดด้วย
2. กินอาหารตามฤดูกาล และเป็นผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น อาหารนอกฤดูกาลนั้น จำเป็นต้องบังคับให้ออกลูก ออกผล ซึ่งหมายถึงต้องใช้พลังงานเข้าช่วย หรือไม่ก็จะต้องสั่งซื้อและขนส่งมาจากที่ห่างไกล
3. กินผักใบเขียวให้มากขึ้น ลดเนื้อแดง และชีส การเลี้ยงปศุสัตว์ทั่วโลกนั้น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 18 แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติ เพียงแค่ลดเนื้อแดงลงแค่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็พอจะช่วยโลกได้บ้างแล้ว
4. เลือกผลิตภัณฑ์อินทรีย์ปลอดสารพิษทุกครั้งที่มีโอกาส ผลการวิจัยบอกไว้ว่า เกษตรอินทรีย์ช่วยรักษาคุณภาพของดิน ซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักคาร์บอนที่สำคัญ 5. เลือกอาหารสดที่ไม่ผ่านกระบวนการแช่แข็ง การแช่แข็งอาหารให้เก็บไว้ได้นาน ต้องผ่านกระบวนการ และเพิ่มเกลือ น้ำมัน และน้ำตาล รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ ส่วนใหญ่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เป็นการเพิ่มขยะอีกด้วย
6. เศษอาหารเหลือนำมาทำปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยคืนอินทรียสารลงสู่ดิน

7. รีไซเคิลช่วยลดคาร์บอนจากการผลิตใหม่ การรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียม 1 ใบ สามารถประหยัดพลังงานได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้เปิดโทรทัศน์นาน 3 ชั่วโมง ส่วนขวดแก้ว 1 ใบ หากนำมารีไซเคิลจะประหยัดพลังงานได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้เปิดหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ นาน 4 ชั่วโมง
8. ถอดปลั๊ก เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้ไฟฟ้า 9. เลือกอุปกรณ์ประหยัดน้ำ และอุปกรณ์ประหยัดไฟ
10. วางแผนการเดินทางโดยเลือกยานพาหนะที่คุ้มค่า (ต่อโลก) ให้มากที่สุด เช่น เดินทางด้วยจักรยาน หรือระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :: กิจกรรม ลดโลกร้อน ด้วยวิถีพอเพียง (Change Now for All Tomorrow)

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 ท่ากระชับสัดส่วนสวย


หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ .....
สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู. takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชื่นชมลูก ช่วยพัฒนา


เด็กก็เช่นเดียวกันต้องการการยอมรับ คำชื่นชม และกำลังใจจากพ่อแม่ เพื่อให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่า และพัฒนาความมั่นใจให้กับตนเอง พ่อแม่สามารถทำได้โดย.....
-ยอมรับในความสามารถของลูก เด็กแต่ละคนมีความสามารถ ความถนัดที่แตกต่างกัน พ่อแม่จึงควรยอมรับลูกอย่างที่เขาเป็น ไม่นำมาเปรียบเทียบกัน และให้โอกาสลูกได้พัฒนาความสามารถตามความถนัด-ให้คำชื่นชมลูก เมื่อลูกมีความพยายามและความตั้งใจ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรกๆ รวมถึงให้คำชื่นชมเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี เช่น แบ่งของเล่นให้น้อง ช่วยงานบ้าน มีน้ำใจ เป็นต้น-ให้กำลังใจลูก แสดงความสนใจในสิ่งที่ลูกชอบ สนับสนุนให้ลูกรู้จักคิดและตัดสินใจด้วยตนเองการยอมรับและคำชื่นชมของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อตนเอง รู้สึกว่าตนมีคุณค่าเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้ถึงคุณค่าของตนเองและสามารถพัฒนาตนเองด้วยความมั่นใจ
ข้อมูลจาก :: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เเม่ยุคใหม่ที่ลูกต้องการ


ในวันแม่ของทุกปี แม่อยากให้ลูกเป็นคนดีของแม่ และในวันแม่ปีนี้ลูกๆ ก็อยากจะขอคุณแม่บ้าง อยากให้แม่เป็นแม่ในยุค 2009.....
วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็น
วันแม่ของคนไทย วันที่แม่และลูกจะได้รำลึกถึงความผูกพันที่ลึกซึ้ง สายใยรักที่มีต่อกันมาตั้งแต่รู้จักกันในบทบาทแม่และลูก ในวันนี้คุณแม่อาจใช้โอกาสในวันสำคัญเพื่อเติมเต็มความรักความห่วงใยที่มีต่อลูก โดยการให้พร แนะนำสั่งสอน ย้ำเตือนบทบาทของลูกในแบบที่แม่ต้องการ หรือรอรับดอกมะลิที่ลูกจะมอบให้ด้วยความรักและเคารพในพระคุณของแม่
ปัจจุบันการสื่อสารมีความก้าวหน้ามากขึ้นทำให้โลกเล็กลง วัฒนธรรมมีการผสมผสานมากขึ้น สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากสังคมตะวันตกมากขึ้น ซึ่งมีทั้งการผสมผสานแล้วได้ส่วนผสมที่ลงตัวและที่ไม่ลงตัว ครอบครัวไทยที่ได้รับผลจากการผสมผสานนั้นมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในครอบครัว รวมถึงวิถีหรือแนวทางในการเลี้ยงดูบุตร ครอบครัวไทยกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) มากขึ้น มีแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single Mom) มากขึ้นจากการหย่าร้าง บทบาทของแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกโดยขาดการแนะนำ หรือจากภาระงานที่มากขึ้น เวลาที่ให้กับลูกน้อยลง ส่งผลให้เด็กในสังคมไทยเกิดปัญหามากขึ้น การเป็นแม่ยุคใหม่นี้ คงไม่ง่ายนักสำหรับคุณแม่มือใหม่ เนื่องในโอกาส
วันแม่จึงขอแนะแนวทางการเป็นแม่ยุคใหม่ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมครอบครัวไทยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้คุณแม่มือใหม่มีแนวทางการเลี้ยงเด็กในยุค 2009 ที่อาจจะช่วยให้คุณแม่มือใหม่เป็น “แม่ยุคใหม่ ที่ลูกคุณต้องการ”
ในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งคงต้องให้การดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กัน ซึ่งหมายถึง การตอบสนองปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ และการให้ความรักที่เหมาะสม คงมีคุณแม่หลายคนตั้งคำถามว่า ความรักที่เหมาะสมหมายถึงอย่างไร เพราะแม่หลายคนบอกว่า “แม่คิดว่าแม่ให้ความรักแบบนี้กับลูกและให้อย่างเต็มที่ แต่เพราะอะไรลูกถึงไม่รักแม่เลย” นั่นแสดงถึงความรักที่แม่ให้ในแบบที่แม่คิดว่าลูกต้องการ ไม่ใช่ความรักที่ลูกอย่างได้ ทีนี้มาดูกันว่าแนวทางการให้ความรักจากแม่แบบไหนที่ลูกต้องการในแต่ละช่วงวัย
วัยทารก ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญเพราะเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทางจิตสังคมของเด็กซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกที่จะส่งผลในอนาคต ในช่วงวัยทารกการดูแลทางกายที่เหมาะสม หมายถึง แม่ตอบสนองกับเด็กเวลาที่เด็กหิว ขับถ่าย ไม่สบายตัว แต่ในขณะเดียวกันการตอบสนองทางกายจะเกิดควบคู่กับการตอบสนองทางจิตใจด้วย หมายถึง เวลาที่แม่ได้เข้าไปให้นมลูกเวลาที่ลูกหิว ดูแลความสะอาดเวลาที่ลูกขับถ่าย และเช็ดตัวเวลาลูกไม่สบาย แม่สามารถให้การดูแลทางจิตใจหรือให้ความรับกับลูกได้โดยการที่แม่เข้ามาพูดคุยกับลูก (Object - Presenting) การโอบกอดสัมผัสลูก (Holding) และการจัดการกับปัญหาให้ลูก (Handling) ทั้ง 3 วิธีการนี้ต้องทำไปพร้อมกัน ช่วยให้ความพึงพอใจกับลูกและลดความวิตกกังวลให้ลูก
วัยเด็ก ในวัยนี้เป็นช่วงวัยของการเปิดโลกกว้าง แม่สามารถจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทั้งทางร่างกายและสมองของลูกโดยการส่งเสริมการทานอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์ จัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ลูก แม่ที่เด็กต้องการจะต้องรู้วิธีการฝึกระเบียบวินัยให้กับลูกแบบที่ไม่ทำให้ลูกรู้สึกถูกบังคับ เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัยที่จะต่อต้านเพื่อเรียนรู้ปฏิกิริยาจากแม่ แม่ต้องทำให้เรื่องของการฝึกระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่สนุก ทำให้เหมือนกับการเล่มเกม ถ้าลูกทำได้ดี ต้องมีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่แม่ให้กับลูก
วัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ คุณแม่บางคนอาจจะทำความเข้าใจลูกวัยรุ่นได้ยากขึ้น เพราะลูกวัยนี้ต้องมีการพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ลูกใช้เวลาส่วนใหญ่กับเพื่อนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์แบบต่างๆ คุณแม่ที่ลูกๆ วัยรุ่นต้องการจะเป็นแม่ที่สามารถทำตัวเป็นเพื่อนกับลูกได้ ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ได้ ไปเที่ยวพร้อมกัน ไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน และในบางครั้งคงต้องแนะนำการคบเพื่อนต่างเพศเพราะลูกเริ่มมีคนมาจีบ แม่ต้องสนับสนุนในเรื่องการเรียนที่ลูกตัดสินใจเลือกเอง วัยนี้เป็นวัยที่ควรจะมีเป้าหมายในการเรียนของตนเองที่ชัดเจน แม่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษา ไม่วางแผนให้ลูกเดินตามสิ่งที่แม่วางไว้ ชีวิตในอนาคตควรจะเป็นสิ่งที่ลูกเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่แม่เลือกให้
วัยผู้ใหญ่ วัยนี้เป็นวัยที่ลูกบางคนเริ่มมี 2 บทบาท ทั้งบทบาทที่เป็นลูก และบทบาทที่เป็นแม่ แม่ที่ลูกวัยนี้ต้องการคือ แม่ที่คอยให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิต ครอบครัว อีกทั้งการแนะนำบทบาทของสามีหรือภรรยาที่ดี รวมถึงบทบาทของพ่อแม่ที่ดีของลูก ประสบการณ์ที่แม่มีและได้สอนลูกจะถูกถ่ายทอดไปสู่รุ่นต่อๆ ไป
โดยสรุปแล้ว แม่ที่ลูกทุกวัยต้องการ คือ แม่ที่เข้าใจลูกและมีกลยุทธ์ในการดูแลลูกแต่ละช่วงวัยให้เหมาะสม การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกในทุกช่วงวัยเป็นการช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง (Intimacy) ส่งผลให้ลูกประสบผลสำเร็จในการดำเนินชีวิต เพราะลูกมีการพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใจ รับมือกับปัญหาและแก้ปัญหาได้ดี สามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม เพียงเท่านี้แม่ที่เห็นลูกมีความสุข ก็จะมีความสุขมากกว่าลูกเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ข้อมูลจาก :: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552



1.
กิน หวาน มากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาล อยู่ ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ ผิว ทำ ให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และ เหี่ยวย่น ในที่สุด
2.
การยืนเอาปลาย นิ้ว มือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะ ปลาย นิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิต บริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส ขึ้น
3.
เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะ แห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะ หาย ขอย้ำ... เมือกจากว่านหางจระเข้เท่านั้น เมือกอย่างอื่นที่ทำเป็นประจำ ผิวหน้าอาจอักเสบ หรือ ติดโรคได้...
4.
การสวมเสื้อผ้า หนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะ ที่ ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะ ฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม
5.
คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือ สารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ ฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิว มัน
6.
การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
7.
การ ร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วย เผา ผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวัน ละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก ถึง 50 แคลอรี
8.
กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วย กาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อม แซม ตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออก ไป แต่ ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
9.
การ เต้น รำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำ ให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพ ดี
10.
การใส่ กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริง หรือ

เฉลย
จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่ นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะ เมื่อ ผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์= A
ชุดคำถาม ที่ 3 หมวด รู้ไว้ใช่ว่า

1.
การแลบลิ้นให้น้ำลาย ยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แค ปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิ กริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
2.
ดูดนมยางของเด็กทารก ตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารก ไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีก ด้วย
3.
การสูดกลิ่นตัว ผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคน รักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลด อาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
4.
แอปเปิ้ลผลิตกระแส ไฟฟ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่น ทอง แดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็น เหมือน แบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้ เช่น กัน
5.
ปัสสาวะ มนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึง เป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
6.
วัวกระทิงเกลียดสี แดง จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่ สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุ มากกว่า
7.
เพชรแท้จะ ไม่ติดสีหมึก จริงหรือ

เฉลย
จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้าย น้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชร เทียม
8.
การทะเลาะ กันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ด เลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำ ให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
9.
แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการ สร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึม เซา ได้
10.
การฟัง เพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมอง หลั่ง สารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้
ชุดคำถาม ที่ 2 หมวด กินเพื่อสุขภาพ

1.
กินน้ำมะนาวปั่น สามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการ ดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำ ผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับ??องเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไป ได้
2.
เมื่อ เป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียม สูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียม สูง จะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.
มัน ฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิต ให้ ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีก ด้วย
4.
ดื่มนม ร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริง หรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบาย ยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร
5.
การเคี้ยวหมาก ฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้ คน ไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็น การ บริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่ง ทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก หนึ่ง
6.
การกินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มี ชื่อ ว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับ ได้ สนิทดีขึ้น
7.
กินส้ม ช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือก เอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวน ที่ เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมา ด้วย
8.
การกินช็อคโกแล๊ต ช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ต มีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ ผล
9.
การกิน บ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการ เหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึง ช่วย ถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มาก อีก ด้วย
10.
การกิน อาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริง หรือ

เฉลย
จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัว ง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้ น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟ้าทะลายโจร


ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสภาวะการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1เอ็น1 บ้านเราก็หลีกหนีไม่พ้นเช่นกัน สังเกตได้จากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าโรคได้กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน - 21 กรกฎาคม 2552 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งหมด 6,776 ราย เสียชีวิต 44 ราย .....
ด้วยเหตุนี้เราจึงควรรับประทานอาหารที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ สมุนไพร"ฟ้าทะลายโจร"จึงถูกพูดถึงมากที่สุด เนื่องจากเป็นยาที่มีความหมายในตัวเองไม่น้อย เพราะแม้แต่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าฟ้าประทานมาให้ปราบโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือน เหล่า โจรร้าย ส่วนในภาษาจีนกลาง ยาตัวนี้มีชื่ออย่างเพราะพริ้งว่า "ชวนซิเหลียน" แปลว่า "ดอกบัวอยู่ในหัวใจ" ซึ่งมีความหมายสูงส่งมาก วงการ แพทย์จีนได้ยก ฟ้าทะลายโจรขึ้นทำเนียบ เป็นยาตำราหลวงที่มีสรรพคุณโดดเด่นมากตัวหนึ่ง ที่สำคัญคือสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวเพียงตัวเดียวก็มี ฤทธิ์แรงพอ ที่จะรักษาโรคได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในสมุนไพรตัวอื่นสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร้อนในบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทานอ่อนลง การรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะช่วย กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย ร้อนในจะหายไป และสมุนไพรฟ้าทะลายโจรดีกว่ายาปฏิชีวนะ ตรงที่ไม่เกิดการง่วงนอน ไม่เกิดการดื้อยา และยัง ป้องกันตับ จากสารพิษหลายชนิด เช่น จากยาแก้ไข้พาราเซตามอล หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม
ขณะที่ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อดีตอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะวิธีรักษาไข้หวัดด้วยแพทย์แผนไทย ใช้สมุนไพร"ฟ้าทะลายโจร"ยาเก่าแก่ของประเทศจีน ซึ่งการวิจัยด้านเภสัชวิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถเพิ่มภูมิต้านทาน ลดไข้ และลดการอักเสบ ช่วยให้จมูกโล่ง น้ำมูกลดหรือแห้ง โดยไม่เกิดอาการง่วงซึม แต่มีข้อควรระวังถ้าปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าอาจแพ้ให้หยุด และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็นอาจทำให้มือเท้าชาหรืออ่อนแรงหมอวิชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้โรคไข้หวัดกำลังระบาดในประเทศไทย ลักษณะของการระบาดบ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์บางส่วน จากสายพันธุ์เดิมตามธรรมชาติของเชื้อโรค ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย น้ำมูกไหล มีเสมหะ ไอ คันคอ แสบคอ ข้อสำคัญอาการมักยืดเยื้อ แทนที่จะเป็นแล้วหายในเวลา 2-3 วัน มักจะเป็นนาน 1-2 สัปดาห์ บางรายอาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ หรือบางรายที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ในคนสูงอายุ เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันอาจถึงขั้นปอดบวมได้อดีตอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันโดยทั่วไปเป็นเพียงการรักษาตามอาการซึ่งมักมี อาการข้างเคียง เช่น ยาลดน้ำมูก ทำให้ง่วง และเสมหะเหนียว บางรายทำให้ไอมากขึ้นและไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ขณะที่ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบันมีราคาแพงมาก ฤทธิ์ข้างเคียงสูงและมักไม่ได้ผลกับไข้หวัด โดยทั่วไปจึงไม่มีการใช้ จึงขอแนะให้ใช้การแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกสำหรับประชาชน"ยาสมุนไพร ที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟ้าทะลายโจรขนาด 2 แคปซูลวันละ 3-4 ครั้งหรืออาจใช้ตามตำรับดั้งเดิมคือ กรณีเป็นต้นสดใช้ยอดเคี้ยวสด ๆ ครั้งละ 4-5 ใบ วันละ 3-4 ครั้ง กรณีเป็นต้นแห้งให้ใช้ทุกส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือดินประมาณ 3 กรัม หรือ 1 กำมือโหย่ง ๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้นจนเดือด ดื่มครั้งละ 2 ถ้วยชาหรือประมาณครึ่งแก้ว (125 ซีซี) วันละ 3-4 ครั้งถ้าน้ำแห้งให้เติมน้ำเพิ่มได้เล็กน้อย แต่ไม่ต้องใส่ยาเพิ่มในวันเดียวกัน วันต่อไปหากอาการยังไม่ดีขึ้นให้รับประทานเพิ่มได้โดยวิธีเดียวกัน"หมอวิชัย กล่าว
ฟ้าทะลายโจรมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ได้ผลดีต่อโรคหวัดมาก โดยมีฤทธิ์เพิ่มภูมิต้านทาน ลดไข้ และลดการอักเสบ ช่วยให้จมูกโล่ง น้ำมูกลดหรือแห้ง โดยไม่เกิดอาการง่วงซึมและช่วยลดไข้และลดอาการเจ็บคอ ระคายคอได้ด้วย ทั้งนี้มีข้อควรระวังคือ ถ้ารับประทานฟ้าทะลายโจรแล้วปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าอาจแพ้ยา ให้หยุดยา และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็นอาจทำให้มือเท้าชาหรืออ่อนแรงได้นอกจากนี้ หมอวิชัย ยังแนะนำให้รักษาร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ สำหรับสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การดื่มของเย็น ควรงดรับประทานของมัน ๆ และของหวาน ๆ เพราะทำให้เสมหะเพิ่มและทำให้ไอมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปการดูแลรักษาตนเองตามวิธีดังกล่าวข้างต้น อาการจะดีขึ้นในเวลาเพียง 1-2 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน โดยเฉพาะหากไข้ไม่ลด ไอ เจ็บคอมากขึ้น เสมหะข้นเหนียวและมีสีเหลืองหรือสีเขียวควรไปพบแพทย์"ฟ้าทะลายโจร"เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันมากในภาคพื้นเอเซีย ทั้งจีน ฮ่องกง และอินเดีย ส่วนในประเทศจีนนั้นได้สกัดออกมาเป็นยาซึ่งมีหลายรูปแบบ ถ้าเป็นยาฉีดก็มีชื่อว่าYamdepieng, Chuanxinlian Ruangas Injection และเป็นยาเม็ดก็มีชื่อว่า Chuanxinlian Antiphologistic Pill, Chuanxinlian Tablets, Kang Yan Tablets ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นตั้งตรงส่วนปลายกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม จะแตกกิ่งก้านออกเฉพาะด้านข้างเท่านั้น กิ่งก้านมีสีเขียวและจะสูงประมาณ 1-2 ฟุต ออกใบเดี่ยว ใบแคบตรงปลายและโคนใบแหลม ผิวใบเป็นมันมีสีเขียว ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบ และส่วนยอดของต้น ดอกเป็นหลอด ปลายดอกแยกออกเป็น 5 กลีบสีขาว หรืออมม่วงอ่อนๆ ดอกจะแบ่งออกเป็น 2 ปาก ที่ปากบนแยกออกเป็น 3 กลีบล่าง 2 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ผลคล้ายกับผลของต้นต้อยติ่ง แต่มีขนาดเล็กและสั้นกว่า ผลนี้จะตั้งมุมก้านดอก เมื่อผลแก่เต็มที่ก็แตกออกเป็นสองซีกทำให้มองเห็นเมล็ดภายในสีน้ำตาลแบน ๆ มีอยู่จำนวนมาก การขยายพันธุ์ เป็นไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด และจะปลูกได้ทุกฤดูกาลด้วยขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ขณะที่สรรพคุณ ช่วยแก้บิดชนิดติดเชื้อ แก้ทางเดินอาหารอักเสบ แก้หวัด แก้ทอนซิล แก้ปอดอักเสบ และแก้อาการท้องเดิน โดยใช้ต้นแห้งประมาณ 1-3 กำมือเอามาหั่น แล้วต้มกับน้ำดื่ม ส่วนเป็นยาแก้ไข้นั้นให้ใช้ครั้งละ 1 กำมือ ต้มกับน้ำดื่มเวลามีอาการ หรือก่อนอาหารเช้าเย็นและถ้าเป็นโรคภายนอก ส่วนใบ ช่วยรักษาแผลน้ำร้อนลวก แก้ไฟไหม้ โดยการนำมาบดผสมกับน้ำมันพืชใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นแผลวิธีและปริมาณที่ใช้ ถ้าใช้แก้ไข้เป็นหวัด ปวดหัวตัวร้อน ใช้ใบและกิ่ง 1 กำมือ (แห้งหนัก 3 กรัม สดหนัก 25 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ ถ้าใช้แก้ท้องเสีย ท้องเดิน เป็นบิดมีไข้ ใช้ทั้งต้นหรือส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร ผึ่งลมให้แห้ง หั่นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 กำมือ (หนักประมาณ 3-9 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่มตลอดวัน บางคนรับประทาน ยาฟ้าทะลายโจร จะเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าแพ้ยา ให้หยุดยา และเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือลดขนาดรับประทานลง
ข้อมูลจาก :: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ