วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552
มะละกอ กินเท่าไหร่ไม่เคยพอ
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
5 พฤติกรรมทำร้ายดวงตา
พฤติกรรม 1 No แว่นกันแดด
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ปิดถนน 13 สาย จัดงานวันพ่อ 3 -13 ธ.ค. นี้
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
2012 วันสิ้นโลก จริงหรือ?
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ประโยชน์ของทุเรียน
เนื้อทุเรียน
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ผลไม้ล้างสารพิษ
แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ
องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก
มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร
ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน
ผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วย อย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
9 วิธี ไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา
2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ
3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ
4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ
5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)
6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง
8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ
9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
22 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ แบบง่าย ๆ
การอ่านหนังสือขั้นเทพ
หลังการอ่านหนังสือจบ จะต้องมีการทบทวน ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะจากการทดลอง พบว่า หากทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้จำได้ถึง 80% และใช้เวลาน้อยมากในการอ่านทบทวน ซึ่งต่างจากคนที่ทบทวนภายใน 7 วัน จะจำได้เพียง 50% ส่วนคนที่ทบทวนการสอบจะจำได้เพียง 20 - 30% เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยเทคนิคการจำ พญ.จิตราบอกว่าให้ใช้การจำโดยการแต่งเรื่องสนุก ๆ โดยนำคำต่าง ๆ มานำหน้า หรื่อเป็นเรื่องตลก เป็นต้น หรืออีกวิธีหนึ่งคือ การจำโดยใช้แผนที่ หรือที่เรียกว่า Mind Mapping ซึ่งวิธนี้ จะทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการวาดรูปแทนข้อความบางข้อความเพื่อสร้างความจดจำ เทคนิคง่าย ๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันรักต้นไม้แห่งชาติ
วันรักต้นไม้แห่งชาติ หรือ "วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ" (National Annual Tree Care Day) ถือกำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ที่ทรงให้ความสำคัญการบำรุงรักษาต้นไม้และต้องการฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ โดยพระองค์ทรงปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ด้วยพระองค์เองมาตลอดพระชนม์ชีพ ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรี จึงมีมติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2533 กำหนดให้ วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็น "วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ"
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552
8 วิธี ฟื้นฟูจิตใจ
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เล็กๆ น้อยๆ เรื่องการนอน
1.หลายคนคงคุ้นกับประโยคที่บอกว่า “ ควรนอนไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง ” ใช่ ไหมค่ะ แต่ดร. Neil บอกว่าจริงๆแล้วไม่มีกฎตายตัวว่าต้องนอนนานเท่าไหร่ มันแล้วแต่บุคคล ถ้าอยู่ในระหว่าง 3 – 11 ชั่วโมงถือว่าใช่ได้ไม่ผิดปรกติอะไร ถ้าอีกวันตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่นสดใส สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ถือว่าโอเคแล้ว
2. เรื่องเวลานอนที่จริงแล้วไม่ค่อยสำคัญ สิ่ง ที่ควรสนใจคือคุณได้ใช้เวลาไปกับการหลับลึกมากแค่ไหนต่างหาก ซึ่งช่วงหลับลึกจะกินเวลาหนึ่งในสามแรกของการนอนและเป็นช่วงที่ร่างกายได้ รับการพักผ่อนมากที่สุดค่ะ มันไม่จริงหรอกค่ะที่นอนตอนสี่ทุ่มจะดีกว่าตอนห้าทุ่ม ข้ออ้างนี้มันสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เอาไว้ใช้ไล่ให้ลูกไปเข้านอน
3. สำหรับเรื่องการนอนไม่หลับ ดร. Neil บอกว่าส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนหลับง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดคุณนอนไม่หลับหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก อย่ามั่วแต่นอนพลิกไปพลิกมา ลองหยิบหนังสือที่มีเนื้อหาสบายๆไม่เร้าอารมณ์มากมาอ่าน ถ้าร่างกายคุณยังคงต้องการการพักผ่อน มันก็จะง่วงขึ้นมาเอง
4. ดร. Neil กับภรรยาแยกเตียงกันนอน เขา บอกว่า “ การนอนเป็นสิ่งเห็นแก่ตัวที่สุดที่คุณสามารถทำได้ ” ถ้าแยกกันนอนกับคนรักแล้วสบายตัวสบายใจหลับฝันได้ ก็แยกเตียงเถอะ ดีกว่าทนฟังเสียงกรน ดมตด หรือถูกคนรักเตะตลอดทั้งคืน ส่วนใครที่กังวลว่าทำแบบนี้มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคู่รึเปล่า คำตอบคือไม่ค่ะ ... ซึ่ง ดร. Neil กล่าวไว้ว่า" ไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ใช่ปัญหา .... แต่ไม่มีเซ็กซ์กันตั้งหากที่เป็น! "
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สอนลูกรู้จักใช้จ่าย
อาจด้วยสังคมของวัยรุ่นปัจจุบันมัก ให้ความสำคัญกับวัตถุสิ่งของ รวมถึงต้องการมีสิ่งของเครื่องใช้ในแบบที่เพื่อนมี ดังนั้น พ่อแม่จึงควรหาแนวทางป้องกันมิให้ลูกหลงไปกับวัตถุสิ่งของมากจนเกินไปโดย..... ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี พ่อแม่ควรมีวินัยในการใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักคุณค่าของเงินเพื่อให้ลูกได้เห็นแบบอย่างที่ดี ควรพูดคุยกับลูกถึงรายรับรายจ่ายของครอบครัว เพื่อให้ลูกทราบว่าสถานะการเงินเป็นเช่นไร มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอะไรบ้างในครอบครัว และเขาควรใช้จ่ายเงินอย่างไร
ไม่ควรตามใจลูกมากเกินไป การซื้อของทุกอย่างที่ลูกอยากได้ เป็นการเพาะนิสัยการใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้องให้ลูก การใช้เงินมากเกินไปขณะที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตนเองทำให้ลูกติดนิสัย ฟุ่มเฟือย และในอนาคตหากเขาต้องทำงานและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง อาจทำให้รายได้ไม่พอใช้ จนต้องมีหนี้สิน ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อตัวลูก
ปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจมากกว่าทางวัตถุ พ่อแม่ควรพูดคุยให้ความสำคัญและปลูกฝังให้ลูกเห็นความสำคัญและคุณค่าทางจิต ใจมากกว่าสิ่งของเงินทอง ควรเป็นตัวอย่างในการแสวงหาความสุขทางใจ โดยไม่พึ่งเงินทองเช่น แสดงน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการให้อย่างมีความสุข ไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของ ไม่ดูถูกหรือเห็นคนอื่นด้อยค่า สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกมีจิตใจละเอียดอ่อนเข้าใจและเห็นคุณค่าของคน
ให้ลูกเรียนรู้คุณค่าของเงิน โดยอาจให้ลูกทำงานพิเศษหากเขาต้องการซื้อของที่มีราคาแพง เพื่อช่วยให้ลูกเรียนรู้ถึงความยากลำบากในการหาเงินเมื่อเทียบกับการใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็น
การ สอนให้ลูกรู้จักใช้จ่ายเงินทอง ช่วยให้ลูกเข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้จักคิดรู้จักที่จะใช้จ่ายอย่างมีคุณค่า มิใช่ซื้อข้าวของเพียงเพราะความสวยงามหรือตามแฟชั่น
ขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันออกพรรษา
วัน ออกพรรษา พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ที่เรียกว่า มหาปวารณา ใน วันออกพรรษา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากในระหว่างที่เข้าพรรษาอยู่ด้วยกัน พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และการให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนก็จะทำให้รู้ข้อบกพร่องของตน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ด้วย พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แม้พระผู้ใหญ่จะมีอาวุโสมากกว่า แต่ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง เพื่อเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย ไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรื ออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ" มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี ทั้ง นี้เมื่อทำพิธี วันออกพรรษา แล้ว พระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระพุทธบัญญัติ และยังได้รับอานิสงค์ก็คือ ไปไหนไม่ต้องบอกลา
ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด
มีสิทธิ์รับลาภที่เกิดขึ้นได้
มีโอกาสได้อนุโมทนากฐิน ที่จะสามารถขยายเวลาของอานิสงค์ออกไปอีก 4 เดือน
ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา
ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ที่นิยมปฏิบัติอยู่ 2 อย่าง คือ
1. ประเพณีตักบาตรเทโว หลัง วันออกพรรษา
หลัง วันออกพรรษา 1 วัน คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีการ "ตักบาตรเทโว" หรือชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหนะ" แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก โดยสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตักบาตรดาวดึงส์" โดยอาหารที่นิยมนำไปใส่บาตรคือ ข้าวต้มมัด และ ข้าวต้มลูกโยน
ความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเทโว มีดังนี้
สมัย พุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม และเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 1 พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสคร การที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า "เทโวโรหณะ" ในครั้งนั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
โดย พิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปัจจุบันนั้นจะเริ่มตั้งแต่ตอนรุ่งอรุณ หลัง วันออกพรรษา พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันใดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้
2. ประเพณีเทศน์มหาชาติ หลัง วันออกพรรษา
งาน เทศน์มหาชาติ นิยมทำกันหลัง วันออกพรรษา พ้นหน้ากฐินไปแล้ว ซึ่งกฐินจะทำกัน 1 เดือนหลังออกพรรษา ที่จะร่วมกันทอดกฐินทั้ง จุลกฐิน และ มหากฐิน โดยประเพณีงานเทศน์มหาชาติอาจทำในวันขี้น 8 ค่ำกลางเดือน 12 หรือในวันแรม 8 ค่ำ ก็ได้ เพราะในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า "งานบุญพระเวส" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน 5 ต่อเดือน 6 ก็มี
งาน เทศน์มหาชาตินั้นจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน 10 โดยการเทศน์มหาชาตินั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 กัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประเพณี วันออกพรรษา ในแต่ละภาค
นอกจากนี้ในแต่ละภาคก็จะมีประเพณีที่ต่างกันไป
วันออกพรรษา ภาคกลาง
จังหวัด นครปฐม ที่พระปฐมเจดีย์ พระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่องค์พระปฐมเจดีย์ แล้วก็เดินลงมาจากบันไดนาคหน้าวิหารพระร่วง สมมติว่าพระเดินลงมาจากบันไดสวรรค์ชาวบ้านก็คอยใส่บาตร
จังหวัด อุทัยธานี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ณ วัดสะแกกรัง พระภิกษุก็จะเดินลงมาจากเขารับบิณฑบาตจากชาวบ้าน โดยขบวนพระภิกษุสงฆ์ที่ลงมาจากบันไดนั้นนิยมให้มีพระพุทธรูปนำหน้า ทำการสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้า จะใช้พระปางอุ้มบาตร ห้ามมาร ห้ามสมุทร รำพึง ถวายเนตรหรือปางลีลา ตั้งไว้บนรถหรือตั้งบนคานหาม มีที่ตั้งบาตรสำหรับอาหารบิณฑบาต
แต่ สำหรับบางที่ไม่นิยมตักบาตรเทโว แต่นิยมตักบาตรตอนเช้าถวายอาหารพระภิกษุแล้วฟังเทศน์รักษาอุโบสถศีล ส่วนที่นิยมตักบาตรเทโว จะทำบุญเป็น 2 วัน คือวันออกพรรษากับวันเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ในวันออกพรรษานั้น หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย ๆ และรักษาอุโบสถศีล
ส่วนทางภาคใต้ก็จะมีประเพณีชักพระหรือลากพระ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปนั่นเอง โดยมี 2 กรณี คือ ชักพระทางบก กับ ชักพระทางน้ำ พิธีชักพระทางบก
ใน จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนวันชักพระ 2 วัน จะมีพิธีใส่บาตรหน้าล้อ นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ยังมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน คือ "ปัด" หรือข้าวต้มผัดน้ำกะทิห่อด้วยใบมะพร้าว บางที่ห่อด้วยใบกะพ้อ (ปาล์มชนิดหนึ่ง) ในภาคกลางเขาเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ก่อนจะถึงวันออกพรรษา 1 - 2 สัปดาห์ ทางวัดจะทำเรือบก คือ เอาท่อนไม้ขนาดใหญ่ 2 ท่อนมาทำเป็นพญานาค 2 ตัว เป็นแม่เรือที่ถูกยึดไว้อย่างแข็งแรง แล้วปูกระดาน วางบุษบก บนบุษบกจะนำพระพุทธรูปยืนรอบบุษบกก็วางเครื่องดนตรีไว้บรรเลง เวลาเคลื่อนพระไปสู่บริเวณงานพอเช้าวัน 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะช่วยกันชักพระ โดยถือเชือกขนาดใหญ่ 2 เส้นที่ผูกไว้กับพญานาคทั้ง 2 ตัว เมื่อถึงบริเวณงานจะมีการสมโภช และมีการเล่นกีฬาพื้นเมืองต่างๆ กลางคืนมีงานฉลองอย่างมโหฬาร อย่างการชักพระที่ปัตตานีก็จะมีชาวอิสลามร่วมด้วย
พิธีชักพระทางน้ำ
ก่อน ถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ทางวัดที่อยู่ริมน้ำ ก็จะเตรียมการต่างๆ โดยการนำเรือมา 2 - 3 ลำ มาปูด้วยไม้กระดานเพื่อตั้งบุษบก หรือพนมพระประดับประดาด้วยธงทิว ในบุษบกก็ตั้งพระพุทธรูป ในเรือบางที่ก็มีเครื่องดนตรีประโคมตลอดทางที่เรือเคลื่อนที่ไปสู่จุดกำหนด คือบริเวณงานท่าน้ำที่เป็นบริเวณงานก็จะมีเรือพระหลายๆ วัดมาร่วมงาน ปัจจุบันจะนิยมใช้เรือยนต์จูง แทนการพาย เมื่อชักพระถึงบริเวณงานทั้งหมด ทุกวัดที่มาร่วมจะมีการฉลองสมโภชพระ มีการละเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนาน เช่น แข่งเรือปาโคลน ซัดข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อฉลองเสร็จ ก็จะชักพระกลับวัด บางทีก็จะแย่งเรือกัน ฝ่ายใดชนะก็ยึดเรือ ฝ่ายใดแพ้ต้องเสียค่าไถ่ให้ฝ่ายชนะ จึงจะได้เรือคืน
ใน เขตที่มีบ้านเรือนอยู่ในเขตแม่น้ำลำคลองก็จะมีพิธีรับพระเช่นกัน อย่างที่อำเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทางวัดจะอัญเชิญพระพุทธรูปยืนลงบุษบกในตัวเรือแล้วแห่ไปตามลำคลอง ชาวบ้านก็จะโยนดอกบัวจากฝั่งให้ตกในเรือหน้าพระพุทธรูป แล้วโยนข้าวต้ม และยังมีการแข่งขันเรือชิงรางวัลอีกด้วย หรือจะเป็นประเพณีตักบาตรพระร้อย ที่เป็นการใส่บาตรพระร้อยรูป ส่วนมากจะจัดพิธีขึ้นทางน้ำเนื่องจากแต่ก่อนบ้านเรือนจะอยู่ติดแม่น้ำลำคลอง การสัญจรไปไหนมาไหนก็จะใช้เรือ พระส่วนใหญ่จึงใช้เรือในการออกบิณฑบาต
กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา
1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
2. ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา
3. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"
4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป
6. งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์
โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำพิธี วันออกพรรษา จะมีดังต่อไปนี้
เตือนสติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงค์อยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล
การ ทำบุญออกพรรษาจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนานๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมา อาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน
ได้ ข้อคิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเรา
เป็น การให้รู้ถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใดๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ดัง นั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันออกพรรษา จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการย้อนมองดูตัวเองว่าได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับปรุงและไม่ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมอีก
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552
Google Wave ของเล่นใหม่จากูเกิ้ล
กูเกิ้ล เวฟ (Google Wave) เป็นเครื่องมือออนไลน์สำหรับการสื่อสารแบบเรียลไทม์ (communication) และการทำงานร่วมกัน (collaboration) ของกูเกิ้ล โดยการทำงานพื้นฐานของเครื่องมือดังกล่าว มันจะทำหน้าทีเป็นไคลเอ็นต์สำหรับการใช้บริการข้อความ (messaging) ที่ผู้ใช้สามารถใส่สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร, วิดีโอ และรูปภาพเข้าไปได้โดยตรงระหว่างที่ทำการสนทนากับสมาชิกในกลุ่มได้ (ดูเหมือนมันจะเป็น IM ที่เก่งมาก โดยสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแชร์สื่อบอกเล่าเก้าสิบกับกลุ่มผู้ใช้ในเครือข่ายได้อย่างง่ายดายด้วยรูปแบบเรียลไทม์)
นอกจากแชร์สื่อข้างต้นแล้ว Google API ของบริการยังเปิดโอกาสให้สามารถแชร์ Social Gadget อย่างเลือกกลุ่มเพื่อน เพื่อชวนมาเล่นแก็ดเจ็ตที่เป็นเกมส์ด้วยกันได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย...เล่าให้ฟังอาจจะไม่เห็นภาพเท่ากับดูคลิปพรีวิวที่นำมาฝากกันนะครับ รับรองว่า คุณต้องชอบเหมือนผมอย่างแน่นอน
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552
10 อันดับเมืองที่มลพิษมากที่สุดในโลก
เมือง สุกินดา ประเทศอินเดีย เมืองสุกินดาอยู่ในรัฐโอริสสา แหล่งแร่โครไมท์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียมลพิษมาจากเหมืองแร่โครไมท์ จำนวน 12แท่ง ซึ่งดำเนินกิจการโดยไม่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เศษหินกว่า 30 ล้านตันกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ เหมืองน้ำเสียจากเหมืองซึ่งไม่ได้รับการบำบัดไหลลงแม่น้ำที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชุมชน น้ำที่ใช้ดื่มปนเปื้อนสาร Hexavalent Chromium ประมาณ 60% อากาศและดินก็ปนเปื้อนสารดังกล่าวนี้ด้วยมีประชาชนได้รับผลกระทบ 2.6 ล้านคน
เมือง คับเว ประเทศแซมเบีย เมืองคับเวเคยรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมเหมืองแรสังกะสีและตะกั่วจนถึงปี 1994 อุตสาหกรรมนี้ได้ทิ้งฝุ่นตะกั่วไว้ในดินโลหะหนักไว้ในน้ำ งานวิจัยระบุว่ามีการกระจายของตะกั่ว แคดเมียม ทองแดง สังกะสีปนเปื้อนอยู่ในดินในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ในรัศมี 20 กิโลเมตรมีประชาชนได้รับผลกระทบ 255,000 ตน
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552
มหัศจรรย์อาหารไทย
โดยก่อนหน้านี้ อักกพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำอาหารที่ทำจากข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของไทย และนำไปดัดแปลงเพื่อให้เป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของ 4 พื้นที่ 4 ภูมิภาค อาทิ ข้าวซอยลำไย จาก จ.ลำพูน อาหารขึ้นชื่อของเมืองเหนือ ข้าวยำสมุนไพร จาก จ.สตูล ข้าวแช่ เมืองเพชร และข้าวเม่า ข้าวตอก ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ จาก จ.นนทบุรี มาจัดแสดงภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และในโอกาสนี้ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของโครงการฯ ยังได้มาย้อนรอยต้นตำรับอาหารไทย ซึ่งนอกจากได้รู้ลึกรู้จริงถึงอาหารไทยอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว งานนี้ยังได้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับอาหารไทยที่คนไทยไม่เคยรู้มาก่อน "อาหารไทยกำลังอินเทรนด์ เพราะมีส่วนผสมของสมุนไพร และด้วยกระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง ทำให้อาหารเป็นที่นิยมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมนำร่องของ ททท.ในการนำอาหารมาเป็นตัวชูโรง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ" รองผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าว
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552
เคี้ยวให้ฟันปลอดภัย
หากถามว่าอวัยวะอะไรที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย ฟันที่ใช้เคี้ยวอาหาร นี่แหละ แต่ถึงจะแข็งอย่างไรก็มีโอกาสสูญเสียจากโรคฟันผุโรคเหงือกได้ มีอีกอย่างที่บางท่านคิดไม่ถึงหรือไม่ค่อยระวัง คือการใช้ฟันผิดประเภทมากกว่าการใช้เคี้ยวอาหารเพียงอย่างเดียว เราสามารถยืดอายุฟันออกไปได้ ถ้าระมัดระวังว่าอะไร ควรกัดควรเคี้ยวมีอะไร?
Don' tถึงแม้ว่าฟันจะแข็งมาก แต่มีโอกาสแตกหักขึ้นได้ เพราะการที่ไปกัดของแข็งมากๆ เช่น ใช้ฟันแทนที่เปิดฝาเบียร์ ฝาน้ำอัดลม อย่าทำครับ อย่าใช้ฟันขบกัดของแข็งจนเป็นนิสัยประจำ เช่น กัดก้านแว่นตา ปากกา กัดเข็มเย็บผ้า หรือคาบไปค์นานๆ ฟันจะสึกโค้งตามวัสดุที่กัด อย่าเคี้ยวหรือใช้ฟันกัดของที่เหนียวมากๆ อย่าใช้ฟันกัดเปลือกผลไม้ที่แข็งมากๆ เช่น เมล็ดเกาลัก หรือขบแตงโมจนเป็นนิสัยเมล็ด อย่าใช้ฟันกัดก้ามปู แทะกระดูก หาก คุณที่มีฟันที่เคยอุดไว้ เนื้อฟันที่เหลือจะน้อยลง พึ่งระลึกเสมอว่า ความแข็งแรงลดลงไปด้วยเช่นกัน บางท่านต้องมาพบหมอฟันอย่างฉุกเฉินด้วยฟันหน้าหักเพราะไปใช้ฟันกัดก้ามปู การใช้ฟันหากเราระมัดระวังรู้จักสภาพฟันของเราดีก็จะช่วยลดอุบัติเหตุหรือ หลีกเลี่ยงอันตรายกับฟันได้ ถ้าอยากให้ฟันแข็งแรงอยู่กับเรานานๆ ต้องทำอย่างนี้ Dos เคี้ยวอาหารที่นุ่มและไม่เหนียว ห้ามใช้ฟันเป็นเครื่องมือในการกัด แทะ หรือเปิดสิ่งของต่างๆ อย่าเคี้ยวหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของน้ำตาล รับประทานอาหารที่เป็นกากใย เช่น ผลไม้ ช่วยขัดกวาดทำความสะอาดฟัน แทนอาหารที่มีน้ำตาลเหนียวๆ ที่ สำคัญอย่าลืมว่า หลังการเคี้ยวมื้อหลักๆ แล้วควรทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ ใช้ไหมขัดซอกฟันทำความสะอาดด้านข้างของฟัน และอมน้ำยาบ้วนปาก หรือใช้ฟลูออไรด์เสริมความแข็งแรงให้ฟัน
การดูแลสุขภาพ ฟันอย่างจริงจัง เลือกอาหาร พบทันตแพทย์เป็นประจำหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ในการใช้ฟันบดเคี้ยว คุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่ประทับใจ ปฏิบัติตามข้อแนะนำข้างต้น เพิ่มความแข็งแรงให้ฟัน และความสะอาดในช่องปากตลอดไป
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
การเรียนเก่งด้วยตัวเอง
- เริ่มจาก ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน จากนั้นลงมือทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- หากวิชาไหนที่ยากมาก ลองรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว
- หาเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนเป็นนิสัย
- ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหา
- ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา
- อย่างสุดท้ายต้องตั้งใจเรียนด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครช่วยเราได้
เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถเรียนเก่งได้ด้วยตัวเอง
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด
สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่าง
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์และแคว้นเวลส์- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า..อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานานเมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆจึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่าUK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็นอีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร
สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่าBritain หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิกโดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึงสหราชอาณาจักรทั้งประเทศซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552
การออกกำลังกายเพิ่มภูมิต้านทานความเครียดให้กับสมอง
หลักฐานในขั้นต้นชี้ว่า คนที่มีร่างกายกระฉับกระเฉงมีความวิตกกังวลและอารมณ์เศร้า ต่ำกว่าคนที่ชอบอยู่เฉยๆ แต่ในงานวิจัยบางงานให้ความสำคัญกับเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นมากกว่า ดังนั้น เพื่อจะบอกว่า การออกกำลังกาย ส่งผลให้คนมีสุขภาพจิตดีขึ้นได้อย่างไรนั้น นักวิจัยหลายท่านพยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างการออกกำลังกาย กับระบบสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเครียด ความวิตกกังวล และอารมณ์เศร้าที่ผ่านมามีหลักฐานสนับสนุนแนวคิดเดิม ที่ว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดสารเอนโดรฟิน (Endorphins) แต่มีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ไปยังสารสื่อประสาทอีกชนิด ที่ชื่อไม่ค่อยคุ้นหูนัก ซึ่งก็คือ นอร์อิพิเนพรีน (norepinephrine) ที่สามารถช่วยให้สมองสามารถจัดการกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้นการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองตั้งแต่ปลายยุค 80 พบว่าการออกกำลังกาย เพิ่มความเข้มข้นของ นอร์อิพิเนพรีน (norepinephrine) ในสมอง โดยเฉพาะในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียดของร่างกายนอร์อิพิเนพรีน (norepinephrine) เป็นที่สนใจแก่นักวิจัยเป็นพิเศษ เนื่องจาก ร้อยละห้าสิบของอาหารสมอง ถูกผลิตใน บริเวณ โลคัสคอรึลัส (locus coeruleus) ซึ่งเป็นบริเวณเชื่อมต่อกับสมองส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับ การตอบสนองทางอารมณ์และ ความเครียดสารสื่อประสาทนอร์อิพิเนพรีน ได้รับพิจารณา ว่ามีบทบาทสำคัญในการทำให้ปฏิกริยาของ สารสื่อประสาทอื่นเบาบางลง โดยเฉพาะ สารสื่อประสาทอื่นที่พบได้บ่อยๆในการตอบสนองต่อความเครียดและถึงแม้นักวิจัยจะยังไม่แน่ใจอย่างชัดเจน ว่ายาต้านอารมณ์เศร้า(antidepressant) ทำงานอย่างไร แต่เหล่านักวิจัยเหล่านั้นก็ทราบว่าบางส่วนของมันเพิ่มความเข้มข้น ของ นอร์อิพิเนพรีน ในสมองอย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาบางท่าน ไม่คิดว่ามันจะเป็นสมการง่ายๆ ว่า การที่ระดับของ นอร์อิพิเนพรีน เพิ่มขึ้น จะเท่ากับความเครียดและอารมณ์เศร้าลดลงโดยนักจิตวิทยากลับคิดว่า การออกกำลังกายสามารถยับยั้งอารมณ์เศร้า และความวิตกกังวลได้โดยการ เพิ่มความสามารถของร่างกายในการตอบสนองต่อความเครียดตามหลักทางด้านชีววิทยาแล้ว การออกกำลังกายดูจะให้โอกาสร่างกายในการฝึกต่อกรกับความเครียด โดยช่วยให้ระบบร่างกาย (ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียด) สื่อสารกับระบบกล้ามเนื้อ ซึ่งทั้งหมดนี้ควบคุมโดยระบบสมองส่วนกลางและระบบประสาทอัตโนมัติ ที่ทำงานประสานกันผลที่ได้รับจากการทำงานประสานกันด้วยดีของร่างกาย อาจเป็นคุณค่าที่แท้จริงที่ได้จากการออกกำลังกายก็เป็นได้ยิ่งร่างกายเฉื่อยชาเท่าใด ร่างกายยิ่งสนองตอบความเครียดได้ด้อยประสิทธิภาพลงเท่านั้น
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
สมูทตี้สมุนไพร อร่อยได้ประโยชน์
เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ บอกว่า ปัจจุบันนิยมรับประทานสมุนไพรไทยกันมากและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะให้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และอื่นๆ ที่จำเป็น และเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถต้านโรคได้
"การรับประทานพืช ผัก ผลไม้สมุนไพร จะดีต่อสุขภาพมาก เพราะเส้นใยจากพืช ผัก ผลไม้จะช่วยระบบย่อยอาหารไม่ให้เกิดอาการท้องผูก ลดคอเลสเตอรอลในเลือด โรคหัวใจ และอื่นๆ อีกมากมาย"สรรพคุณของสมุนไพรต่างๆ มีดังนี้ สับปะรด ช่วยย่อยอาหาร มีโพแทสเซียมสูง ช่วยป้องกันการเป็นตะคริวและลดความดันโลหิตสูง แอปเปิ้ล มีเพคตินช่วยจับคอเลสเตอรอล ทำให้คอเลสเตอรอลในเส้นเลือดลดลง ควบคุมน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจดอกกระเจี๊ยบ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยย่อยอาหาร หล่อลื่นลำไส้ ขับปัสสาวะและช่วยป้องกันนิ่ว โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบสะระแหน่ น้ำมันใบสาระแหน่ให้กลิ่นหอม ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ อาการหวัดลมร้อน แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย คลายความเครียด รักษาอาการหน้ามืดตาลาย บำรุงสายตาสตรอเบอรี่ วิตามินซีมีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน ช่วยทำให้ผิวสดชื่น และชุ่มชื้น ชะลอความแก่ แต่ถ้าใครชอบรับประทานสมุนไพรแบบประยุกต์ มีขั้นตอนการทำ "สมูทตี้สับปะรด สตอเบอรี่" มาแนะนำส่วนผสม ประกอบด้วย สับปะรด 100 กรัม สตอเบอรี่ 50 กรัม น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ โยเกิร์ต รสสตอเบอรี่ ครึ่งถ้วยตวง เกลือ ครึ่งช้อนชา และน้ำแข็งละเอียดวิธีทำ นำสับปะรด สตอเบอรี่ โยเกิร์ต น้ำผึ้ง และน้ำแข็งละเอียด ปั่นให้เข้ากัน เทใส่แก้ว ตกแต่งด้วยสตอเบอรี่ อร่อยแถมได้ประโยชน์จากสมุนไพรด้วย
เด็กกับ"ดนตรี"และ"ศิลปะ
เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า กระบวนการทางดนตรีและศิลปะช่วยส่งเสริมให้วงจรสมองของเด็กมีประสิทธิ ภาพมากขึ้น ส่งผลให้เด็กเรียนรู้ได้รวดเร็ว ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ ดนตรีสมอง - ช่วยพัฒนาเซลล์สมองได้อย่างสมดุล มีการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท ทำให้สมองทั้ง ซีกขวาและซ้ายทำงานพร้อมกัน สมองซีกขวารับรู้ความไพเราะ รู้สึก ผ่อนคลาย ส่วนสมองซีกซ้ายรับรู้ตัวโน้ตและจังหวะภาษา - ช่วยพัฒนาความสามารถทางด้านภาษาและการพูดให้ดีขึ้นร่างกาย - การประกอบท่าทางพร้อมเสียงเพลงของเด็ก จะช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว บริหารกล้ามเนื้อและการทรงตัวที่ดีอารมณ์ - เสียงเพลงที่มีจังหวะ ท่วงทำนองที่ฟังสบาย (ดนตรีคลาสสิค) ทำให้สภาวะจิตใจสงบ กล้ามเนื้อสมองผ่อนคลาย พร้อมรับข้อมูลความรู้ต่างๆศิลปะสมอง - กระบวนการทำงานศิลปะ มีผลต่อการพัฒนาสมองและจินตนาการ ฝึกให้สมองคิดตลอดเวลา โดยผ่านกระบวนการทางศิลปะ ฉะนั้น เมื่อสมองทำงานอยู่เรื่อยๆ ฝึกบ่อยๆ สมองจึงมีประสิทธิ ภาพลูกน้อยมีความสามารถอารมณ์ - การวาดรูป ระบายสี การปั้น และกระบวนการอื่นๆ ทางศิลปะ ช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย เรียนรู้ที่จะแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความต้องการของตน และการเข้าใจผู้อื่นทักษะสังคม - ช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะผ่านการทำกิจกรรมเป็น กลุ่ม รู้จักรอคอย และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันร่างกาย - ฝึกทักษะการเคลื่อนไหวของร่างกาย และกระตุ้นพัฒนาการการทำงานประสานกันของอวัยวะส่วนต่างๆ เช่น การปั้นแป้งโดว์ การจับดินสอ การระบายสี หรือหัดเขียนย้ำว่า ความสามารถ ความฉลาด ความเก่ง หรือทักษะด้านต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ปรารถนานั้น จุดเริ่มต้นมาจากกระบวนการเรียนรู้ที่ดีก่อน เมื่อสมองของลูกน้อยได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง สมองก็ยิ่งเชื่อมโยงเซลล์ประสาทต่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่มีความสุข จะยิ่งก่อให้เกิดความทรงจำและกระบวนการเรียนรู้ที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552
เรื่องของ"เลข 9" ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009
เพราะความเชื่อในเรื่องของ "เลข 9" ว่าเป็นเลขมงคล เป็นฤกษ์งามยามดี เป็นโชค หรืออะไรก็แล้วแต่ที่หมู่คนไทยเวลานี้นิยมยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งทางใจโดยเฉพาะตัวเลขที่ปรากฏบนปฏิทินของปีฉลู 2009 วันที่ 9 เดือน 9 ถือเป็นเลขสวยที่สุดของศตวรรษก็ว่าได้ความคิดเห็นความเชื่อของเลข 999 ที่ปรากฏขึ้นนี้ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เห็นว่าเป็น เลขมงคล จะทำการต่างๆ หรือพิธีต่างๆ ในวันนี้กันอย่างคึกคัก คนที่ยังไม่มีกิจกรรม ก็จะสรรหา คิดค้นขึ้นมาให้สอดคล้องต้องกับวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงไปยังเลข 9 อาทิ การจัดงานไหว้พระทำบุญ 9 วัด ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 หรือ ทำพิธีปลุกเสกพระศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่างๆ เป็นต้นอีกฝ่ายเห็นว่าเป็น เลขลึกลับ น่ากลัว โดยเฉพาะในฝ่ายของคริสต์ศาสนา ที่มีบางพวกเชื่อว่าเป็นวันฟื้นคืนชีพของซาตาน- - ว่าเข้าไปโน่นความจริงคนถือฤกษ์ยาม วันที่ 9 เดือน 9 มีมาเกือบทุกปี พ.ศ.อยู่แล้ว เพราะถือเป็น "กระทิงวัน" ซึ่งความหมายของกระทิงวันบอกไว้ว่า เป็นวันใดวันหนึ่งที่มีเลขตรงกันสามตัวขึ้นไป และปีนี้ปรากฏว่ามีเลข 9 ตรงกัน คือ วันที่ 9 เดือน 9 (กันยายน) ปี 2009 วันเช่นนี้ถือเป็นวันที่มีความแข็งกล้า มีความสำคัญในหลักโหราศาสตร์และไสยศาสตร์โดยเฉพาะในด้านไสยศาสตร์ สายเกจิอาจารย์ที่มีคาถาอาคม ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เรื่องเลข 9 สนุกสนานไม่แพ้กัน โดย อาจารย์หนู กันภัย เกจิอาจารย์ด้านสักยันต์ลงคาถาอาคมชื่อดัง กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า เดือนกันยายนมี "วันเสาร์ห้า" เป็นวันแข็ง ถ้าทำพิธีปลุกเสกตามวัดต่างๆ จัดว่าดี และถ้าเป็นวันเสาร์ห้าที่มีเลข 9 คือวันเสาร์ห้าในเดือน 9 แล้วยิ่งจะแรงขึ้นอีกหลายเท่า"ยิ่งถ้าเป็น 999 ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ คือวันที่ 9 เดือน 9 แรม 9 ค่ำ ซึ่งก็คือวันที่ 9 ในเดือนกันยายนนี้ ถือเป็นเลขมงคลอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นฤกษ์ในการทำพิธีปลุกเสก หรือพุทธาภิเษกเครื่องรางของขลัง เรียกกันในวงการว่าเป็นฤกษ์ 5 มหาเศรษฐี เป็นวันธงชัย เพราะฉะนั้น ฤกษ์ที่เป็นเสาร์ห้าก็ดี หรือกระทิงวัน 999 ก็ดี จะไม่มีพวกอุบาทว์ จะไม่มีพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก จะเป็นฤกษ์ที่รุกขเทวดามาชุมนุมกัน ซึ่งทางพระสงฆ์เองก็ถือว่าเป็นวันดีวันแข็งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
พระพรหมวชิรญาณอย่างไรก็ดี อาจารย์หนูบอกว่า เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลด้วย เพราะบางคนไม่ถือฤกษ์ยาม หรือมีวิธีแก้เคล็ด พร้อมยกตัวอย่างวัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโสธร มีการจัดงานประจำปีทุกปี และบังเอิญว่าวันที่จัดไปตรงกับฤกษ์วันโลกาวินาศ แต่ทางวัดก็ยังจัดโดยมีวิธีแก้ คือจัดพิธีบูชาฤกษ์"สำหรับผมแล้วเห็นว่าวันของคนไทยเราดีทุกวัน ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ดีทุกวันก็ถือว่าดี ส่วนเลข 9 ก็เป็นความเชื่อของคนไทย ที่เชื่อว่าเลข 9 ตามตำราเป็นเลขดีเลขมงคล ขณะที่คนจีนกลับบอกว่า เลข 8 ดี จริงๆ แล้วอย่าไปยึดติดตัวเลขอะไรกันมาก วันไหนก็ดีทุกวัน ขอให้ยึดถือทำความดีเป็นที่ตั้ง เราจะทำความดีจุดธูปไหว้พระ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวันไหน ทองย่อมเป็นทองแม้อยู่ในน้ำครำก็เป็นทอง หากมีเวลาอยากให้ไปทำบุญกันให้มากๆ ไม่ว่าวันไหนก็ตาม เช่นตอนนี้ที่วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ กำลังจะสร้างโรงทาน ใครอยากไปทำบุญไปได้ทุกวัน เวลา.."ส่วนความเชื่อในทางโหราศาสตร์นั้น "นงนภัส ลิมวิภา" หมอดูที่เรียกตัวเองว่า "มิติแห่งจิตสัมผัส" พูดถึงเรื่องของเลข 9-9-9 ว่า ในวันที่ 9 กันยายนนี้ตามตำราจีนถือว่าเป็นวันธงชัย เหมาะแก่การทำงานมงคลต่างๆ แต่คนไทยส่วนมากจะคิดว่าเลข 9 เป็นสัญลักษณ์ของดาวเกตุ-ดาวเกตุเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดาวมงคลคุ้มครอง ในความเห็นของตน เลข 9 เหมือนดาบสองคม ถ้าปฏิบัติดีเลขก็จะส่งเสริม แต่ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่ดี เลข 9 ก็จะไม่ส่งผลอะไร"จริงๆ แล้วในหลักของตัวเลขวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 มันคือ 9 สามตัวบวกกันแล้วจะได้ 27 ความหมายของศาสตร์ ตัวเลข 27 ร้ายแรงมาก หมายถึงความเป็นอัปมงคล มีแต่เรื่องสูญเสีย โรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตมีแต่ปัญหา แต่ไม่ต้องกังวลอะไรมาก คนเราจะทำความดีวันไหนก็ได้ เพราะวันไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้าพร้อม เมื่อพร้อมใจก็สบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นลงตัว"
(ซ้ายบน) นงนภัส ลิมวิภา (ขวาบน) อาจารย์หนู กันภัย (ล่าง) คนแห่สักยันต์นงนภัสกล่าวเพิ่มเติมในแง่ของโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาในปีที่มีเลข 999 ปี 2552 ว่า สถานการณ์ทั่วไปไม่ถึงกับรุนแรงวิปโยค แต่จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง วุ่นวาย และน่าเบื่อหน่ายพอสมควร"ที่น่าห่วงคือเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำและไฟ น่าห่วงมากที่สุด ขอให้อย่าประมาทในภัยธรรมชาติ จะรุมกระหน่ำพอสมควร แต่อย่าได้ตกใจกับข่าวต่างๆ มากเกินไป มีสติ แล้วทุกอย่างจะแก้ไขได้ จากนี้ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น จะมีดีเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังเหนื่อยมาก ไม่มีใครช่วยได้นอกจากช่วยตัวเอง โดยการใช้จ่ายอย่างพอเพียง ลดสิ่งที่ไม่จำเป็นลงบ้างแค่นี้ก็ดำรงชีพอยู่ได้แล้ว"ส่วนช่วงปลายปี 2552 ในเดือนธันวาคม นงนภัสบอกว่า จะมีเหตุการณ์ขัดแย้งหนัก ขอให้ทุกคนใจเย็น ใช้ธรรมในการดำรงสติและชีวิต โดยเฉพาะรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน จะสร้างความรักความสุขให้เกิดขึ้น เหตุการณ์ไม่ดีก็จะอ่อนลงไม่ทำร้ายกันในที่สุด"อยากแนะนำให้ทุกคนสวดมนต์บท มงกุฎพระพุทธเจ้า วันละ 18 จบ จะแคล้วคลาดปลอดภัย และอย่าลืมแผ่เมตตาให้สรรพสิ่งด้วย" สาวผู้มีมิติแห่งจิตกล่าวทางด้านพระพุทธคุณ พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เขตสาทร ซึ่งขณะนี้กำลังมีงานพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พูดถึงเรื่องของเลข 9 ในเดือนกันยายนนี้ ว่า ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ยึดถือตัวเลขอะไรทั้งนั้น ฉะนั้น ความเชื่อเรื่องเลข 9 เป็นความเชื่อของประชาชน คือวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 เป็นตัวเลขที่สวย "อาตมาว่าการทำความดีไม่ต้องไปยึดกับตัวเลข ทำดีได้ทุกวัน การทำความชั่ววันไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 ถ้าประชาชนได้ร่วมกันทำความดีเพื่อประเทศชาติ ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม ทางโบราณเขามีกำหนดเอาไว้ตามหลักสถิติ ก็ว่ากันไป ยกตัวอย่างวัดเสาร์ห้ามขึ้นบ้านใหม่ ทำไปแล้วมีเรื่องเดือดร้อน หรือแต่งงานวันพุธไม่ดี ปูที่นอนส่งตัววันพุธไม่ดี อาตมาเองไม่เคยเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ อาตมาเชื่อมั่นตามหลักพระพุทธเจ้าสอน ทุกวันเป็นวันดีหมด เวลาญาติโยมมากราบพระ อยากจะได้วันไหนก็เป็นเรื่องที่ญาติโยมกำหนดเอาเอง ว่าวันไหนทำแล้วสบายใจก็ทำ"หลวงพ่อศิษย์ตถาคตยังบอกด้วยว่า เวลานี้ทางวัดยานนาวาได้จัดกิจกรรมในวันเสาร์-อาทิตย์ มีพระมาเทศนา สอนธรรมะ สอนปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาให้ประชาชนได้สักการะบูชากัน"ถ้าอยากทำความดีก็มา ไม่ว่าวันไหน เดือนไหน ตัวเลขอะไร ดีทั้งนั้น อาตมาขอแนะนำ"เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ ใครเชื่ออย่างไหนก็ทำอย่างนั้น แต่เรื่องของความดี ทำดีได้ดี เป็นเรื่องจริง เป็นของจริงที่มาของชื่อ"เดือนกันยายน"ชื่อเดือนที่ 9 ของปีตามปฏิทินสุริยคติ ข้อมูลพื้นฐานบอกว่า เป็น 1 ใน 4 เดือนที่มีจำนวนวัน 30 วันเดือนกันยายนเริ่มต้นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีกันย์ และสิ้นสุดเมื่อยกเข้าสู่ราศีตุลย์ แต่ในทางดาราศาสตร์ ต้นเดือนกันยายนดวงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มดาวสิงโตและปลายเดือนไปอยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาวภาษาอังกฤษเรียกเดือนนี้ว่า "September" มาจากภาษาละติน "septem" ที่แปลว่า "เจ็ด-7"แต่กลายเป็น 9 ในปีปฏิทินทางสุริยคติ นั่นเป็นเพราะว่าเดิม "September" เป็นเดือนที่ 7 ของปีในปฏิทินโรมัน จนกระทั่ง 153 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการปฏิรูปปฏิทินขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่นับเดือน "มีนาคม" เป็นเดือนที่ 1 ของปี ก็เปลี่ยนมานับ "มกราคม" เป็นเดือนที่ 1 ของปีแทน จึงทำให้เดือนเซ็พเทมเบอร์ (กันยายน) กลายเป็นเดือนที่ 9ส่วนในเมืองไทย มีการประกาศใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามอย่างฝรั่ง (แบบสุริยคติ) ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ถึงแม้จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ คนไทยก็ยังใช้ปฏิทินตามอย่างจันทรคติควบคู่ไปด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ จึงทรงคิดตั้งชื่อเดือนในปฏิทินไทยขึ้น ตั้งแต่มกราคม ถึงธันวาคม โดยทรงใช้ตำราตามจักรราศีตามวิชาโหราศาสตร์มาตั้งชื่อเดือนทั้ง 12 เดือนทำให้เดือนกันยายนในความหมายปฏิทินไทย คือ "กันย" (สาวพรหมจารี) + "อายน" (การมาถึง) รวมความเป็น "กันยายน" หมายถึงการมาถึงของราศีกันย์
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
เสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ดีอยู่เสมอ
ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือ อายุที่มากขึ้นจะทำให้ระบบภูมิต้านทานทำงานน้อยลง ระบบการต่อต้านการติดเชื้อเสียไป เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมบุกรุกเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่บั่นทอนระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ การขาดอาหาร นอนไม่พอ ไม่ออกกำลังกาย ลดน้ำหนักจนกลายเป็นโยโย โรคมะเร็ง การผ่าตัดใหญ่ และอาการบาดเจ็บรุนแรง
ระบบภูมิคุ้มกันลดลง ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราประกอบไปด้วยเซลล์มากมายหลายชนิด แอนตี้บอดีและโปรตีนซึ่งต้องทำงานอย่างแอคทีฟอยู่ตลอดเวลาเพื่อปกป้องร่าง กายจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพยาธิหรือบรรดากาฝากในร่างกาย ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง ข้ออักเสบ
วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ สังกะสี ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี 6 ซี อี และกรดโฟลิก จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สารอาหารเหล่านี้เปรียบเสมือนคันบังคับลิ้นที่ควบคุมน้ำมันในเครื่องยนต์ ถ้าขาดสารอาหารเพียงตัวใดตัวหนึ่งไปแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน รวนเรได้
แต่สารอาหารบางอย่างถ้าเสริมมากไปก็จะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ เท่าๆ กับผลจากการขาด ตัวอย่างเช่น สังกะสีช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ความต้องการสังกะสีเพียงวันละ 15 มิลลิกรัมแต่บางคนเสริมสังกะสีวันละ 300 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับ 20 เท่าของความต้องการประจำวัน จึงมีผลไปลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้
สารอาหารหลักสำหรับระบบภูมิคุ้มกันมีดังนี้
- วิตามิน เอ ช่วยผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างเซลล์บุเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบย่อย ซึ่งเซลล์เหล่านี้เป็นด่านแรกในการป้องกันการติดเชื้อ
- วิตามิน ซี เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว มีงานวิจัยหลายรายงานที่พบว่า วิตามินซีอาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของการเป็นหวัด แม้ไม่สามารถป้องกันหวัดได้แน่นอน แต่ก็ลดระดับสารอนุมูลอิสระและสารฮิสตามีน (histamine) ซึ่งทำให้เกิดอาการคัดแน่นจมูกได้
- วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวในการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย
- ธาตุเหล็ก เป็นองค์ประกอบสำคัญของเอ็นไซม์มากมายในร่างกาย ช่วยในการฆ่าเชื้อ หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย
- ซีลีเนียม ช่วยสร้างแอนตี้บอดีและเอ็นไซม์ซึ่งป้องกันระบบภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าเสริมมากเกินไป (4 เท่าของระดับที่แนะนำ ) จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียได้
- สังกะสี จำเป็นต่อการทำงานที่ละเอียดอ่อนของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส เชื้อรา พยาธิและเชื้อโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
- วิตามิน และแร่ธาตุรวม มีงานวิจัยรายงานว่าการเสริมเพียงวันละเม็ดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่าตัด จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และลดการเจ็บป่วย 17 วัน / ปี คำเตือนคือ ควรเสริมในระดับ 100% ของความต้องการประจำวัน
สารอาหารอื่นๆ มีการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า สารพฤกษาเคมีชื่อ อะพิจีนีน (apigenin) พบมากใน ซาเลอรี ช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในเลือด ลดภาระของระบบภูมิคุ้มกันในหนูทดลอง งานวิจัยในสัตว์ทดลองของนักวิจัยชาวฝรั่งเศสและสเปนพบว่า สารพฤกษเคมีประเภทสารโพลีฟีนอล ที่พบในจมูกข้าวสาลีและบักวีท ( เมล็ดพืชชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ) ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันที่อืดลงให้ทำงานดีขึ้น ทั้งยังเชื่ออีกว่าอาหารที่ให้สารอาหารหลักและพฤกษเคมี จะช่วยชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันที่มากับวัย ช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นทั้งที่วัยมากขึ้น
อาหารไขมันดีอย่างไร
ไขมันให้ประโยชน์หรือโทษเพียงไรกับระบบภูมิคุ้มกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณของกรดไขมันชนิดต่างๆ ในน้ำมัน นักวิจัยแนะนำว่า กรดโอเมก้า 6 ซึ่งพบในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด ดอกคำฝอย ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ถ้าใช้มากเกิน อาจจะเพิ่มการอักเสบและยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโพไซต์ (lymphocytes) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ในทางกลับกัน กรดโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา ซึ่งพบมากในปลาแซลมอนและปลาทูน่า ส่วนในพืชพบมากในเมล็ดแฟลกซีดและวอลนัท อาจเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและยับยั้งการอักเสบได้ งานวิจัยพบว่าโอเมก้า 3 สามารถเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ (macrophages) ซึ่งช่วยในการดักจับและทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เพิ่มภูมิคุ้มกัน
นอกจากอาหารและการเสริมวิตามินรวมทุกวัน ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอื่นๆ ที่อ้างในการช่วยต้านการติดเชื้อ เช่น แอสทรากาลัส (astragalus) ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่นักวิจัยพบว่า ช่วยสร้างสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในสัตว์ทดลองที่ถูกทำลายจากโรคมะเร็ง แต่กับคนยังไม่มีข้อมูลยืนยัน
เอ็ดไคนาเซีย มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า มีส่วนช่วยการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์ที่ทำหน้าที่ทำลายเชื้อบุกรุกร่างกาย (natural killer cells) การวิจัยในคนพบว่า ลดระยะเวลาการเป็นหวัดแต่ไม่ป้องกัน ในประเทศเยอรมันใช้เป็นยาต่อต้านหวัด
พรีไบโอติกส์ ใช้เติมลงในผลิตภัณฑ์โยเกิร์ต สารพรีไบโอติกส์ ได้แก่ อินนูลิน ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยควบคุมองค์ประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ลิมโฟไซต์และแอนติบอดี
อินนูลิน ใยอาหารธรรมชาติพบในเมล็ดพืชไม่ขัดสี ทำงานเป็นสารพรีไบโอติกส์ในลำไส้ เสริมสร้างแบคทีเรียที่ดี การวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในหลายๆ ส่วน แต่ในคนยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจน
สำหรับวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีและปลอดภัยในชีวิตประจำวันคือ บริโภคผักผลไม้วันละ 5-9 ส่วน ธัญพืชไม่ขัดสีวันละ 2-3 ส่วน เนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือถั่วเหลือง เพื่อเสริมสังกะสี
หากรู้จักใส่ใจเลือกชนิดและปริมาณอาหารให้ถูกต้อง จะช่วยชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันที่มากับวัย ส่งผลให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นอีกด้วยค่ะ
ดูเเลสมอง
แต่อย่าเอะอะโวยวายไปท่าน เพราะใครๆ ก็เผชิญกับอาการเหล่านี้ได้ทุกคน เพียงแต่อย่าปล่อยให้มันกำเริบเสิบสาน และฟุ้งซ่านเกินไปละกัน เพราะ "สมอง" น่ะเป็นสิ่งสำคัญของการดำรงชีวิต ย่อมรู้ๆ กันอยู่ ดังนั้นถ้าพวกเราสามารถขจัดนิสัยไม่ชอบมาพากล (หมายถึงนิสัยซังกะบ๊วยของตัวเอง) ที่ส่งผลกระทบต่อสมองได้ ก็เท่ากับพวกเราเริ่มเอาใจใส่กับสมองกันแล้วอ่ะดี้
แล้วมีอะไรมั่งเหรอ ที่มนุษย์มักเผอเรอทำให้สมองตัวเองอักเสบจนทำงานขัดข้องและมีความคิดติดขัด รวมทั้งขาดความคิดสร้างสรรค์น่ะ ฮึ่ม คำตอบก็อยู่ตรงที่พวกเรามักมีพฤติกรรมที่ไปรบกวนการทำงานของสมองจนทำให้ตัวเองปํ้าๆ เป๋อๆ เอาน่ะซี เช่น ทำอย่างงี้ไง...
1. ชอบคิดในแง่ร้าย
หากใคร "คิดดี" กับคนอื่นไม่เป็นก็น่าสงสารนะ เพราะเท่ากับมีความคิดที่ทำลายตัวเองไงจ๊ะ แต่พูดนี่ก็ไม่อยากแนะให้มองโลกในแง่ดีเสมอไปเหมียนกัน เพราะโลกนี้มีคนมากมายที่พวกเรามักรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ แถมภัยอันตรายก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม จึงอยากฝากให้รู้จักคิดในทางสายกลางเข้าไว้ และใช้สมองอย่างมีเหตุผลจะดีมากๆ เลย
2. ไม่ทานอาหารเช้า
เข้าใจนะว่าบางท่านพอตื่นขึ้นมาก็ไม่อยากรีบทานอาหารกันหรอก จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะทานไม่ลง, ไม่เจริญอาหารในช่วงเวลานี้ หรือชอบหันไปทานเยอะๆ เวลาอื่นมากกว่า จึงอยากแนะนำให้ทานอาหารเช้าติดท้องไว้บ้างสักนิดสักหน่อยก็ยังดี ขืนไม่ทานเลยแล้วจะมีสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้ไง อีกอย่างหากเมินอาหารเช้านานๆ เข้า ระวังเซลล์สมองฝ่อเอานะ
3. การสูบบุหรี่หรือดื่มเบียร์ดื่มเหล้า
คงไม่ต้องบอกก็ทราบใช่มะว่าไม่ดีต่อสมองแน่ๆ
4. อยู่ท่ามกลางอากาศเป็นพิษ เป็นอันตรายกับสมองนะ
โอ้ย ถ้ายิ่งอยู่บนท้องถนนที่มีรถพลุกพล่าน มีการปล่อยก๊าซที่ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อสุขภาพของพวกเรานานๆ ย่อมทำให้หงุดหงิด, อารมณ์บ่จอย และวิงเวียนมึนหัวด้วยน่ะซี ยิ่งถ้ามีมลพิษทางอากาศเยอะ ไม่ใช่แค่สมองเท่านั้นนะที่โดนกระทบ แต่สุขภาพในด้านอื่นๆ ก็พลอยชีช้ำไปด้วย
5. พักผ่อนน้อยก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ
จึงควรนอนหลับให้พอ แต่โห ช่วงที่เศรษฐกิจมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายรับเท่าเดิมเนี่ยนะใครจะไปนอนหลับ เพราะมัวแต่เอามือก่ายหน้าผากหาทางปลดหนี้ที่มีอยู่พะรุงพะรังกันน่ะซี งั้นก็เร่งทำงานหาเงินมาปลดหนี้กันดีฝ่า
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552
ริ้วรอยแตกลายลบได้ด้วยว่านหางจระเข้
ใครที่มีปัญหาริ้วรอยแตกลาย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ลองหาว่านหางจระเข้มาช่วยลบริ้วรอยกันดู.....
ริ้วรอย อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลายกันได้
วิธีทำง่ายๆ คือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านห่างจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้ อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ
แต่ถ้าหากไม่มีว่านหางจระเข้ก็สามารถใช้ใบบัวบกแทนได้ โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
การถ่ายภาพให้สวย
1. ย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับสิ่งที่จะถ่าย - ถือกล้องในระดับเดียวกับระดับสายตาของแบบ เพื่อเก็บภาพที่แสดงถึงพลังของการเพ่ง มองที่น่าดึงดูด และรอยยิ้มที่น่าหลงใหล- ถ้าแบบเป็นเด็กหรือสัตว์เลี้ยง เพียงย่อตัวลงให้อยู่ระดับเดียวกับพวกเขาเมื่อถ่ายภาพ- แบบไม่ต้องมองตรงมายังกล้อง มองไปมุมใดก็ได้ คุณก็สามารถเก็บอารมณ์ของแบบที่ น่าประทับใจได้
2. อย่าให้ฉากหลังดูรุงรัง
- ก่อนถ่ายภาพ สังเกตมองพื้นที่หลังแบบว่าเรียบหรือรกรุงรัง- ระวังกิ่งไม้ที่อาจจะอยู่ด้านหลังศีรษะของแบบ- ฉากหลังที่รก ระเกะระกะน่ารำคาญ ในขณะที่ฉากหลังเรียบจะช่วยเน้นให้แบบโดดเด่น
3. ใช้แฟลชเมื่อถ่ายกลางแจ้ง - แม้จะถ่ายรูปกลางแจ้ง การใช้แฟลชก็ยังช่วยให้ภาพดูดีขึ้นได้- ขณะแสงแดดจ้า การใช้แฟลชจะช่วยทำให้เงาดำใต้ตาและใต้จมูกสว่างขึ้น โดยเฉพาะ ช่วงที่พระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะหรืออยู่ด้านหลังแบบ- ในวันที่ฟ้ามีเมฆ การใช้แฟลชจะทำให้หน้าของแบบกระจ่างสดใสขึ้น และช่วยให้แบบ โดดเด่นจากฉากหลัง
4. เข้าไปใกล้อีกนิด - เพื่อสร้างรูปถ่ายที่ประทับใจ ขยับเข้าไปอีกและทำให้แบบอยู่เต็มภาพ- การขยับเข้าใกล้แบบ หรือใช้ซูมจนกระทั่งแบบเต็มช่องมองภาพ จะช่วยให้คุณตัดฉาก หลังที่จะลดความโดดเด่นของแบบออกไป และยังแสดงรายละเอียดของแบบได้เต็มตา ด้วย- สำหรับแบบขนาดเล็ก เลือกใช้โหมด "มาโคร" หรือ "ดอกไม้" เพื่อจะได้ภาพโคลสอัพ (close-ups) ที่คมชัด
5. ลองถ่ายภาพในแนวตั้ง- มีแบบมากมายที่ดูสวยงามกว่าหากถ่ายในแนวตั้ง จากหอไอเฟิลไปจนถึงรูปถ่ายเพื่อน ของคุณ- ทดลองตั้งกล้องเพื่อถ่ายรูปแนวตั้งบ้าง
6. ล็อคโฟกัสเพื่อให้ได้ภาพคมชัด- การล็อคโฟกัสเพื่อให้ได้ภาพคมชัดของแบบที่ไม่อยู่กลางภาพ ทำได้ดังนี้1. เล็งแบบให้อยู่ตรงกลางภาพ2. กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งเพื่อให้กล้องโฟกัสที่แบบ3. จัดองค์ประกอบภาพใหม่ (โดยยังกดชัตเตอร์ค้างอยู่)4. กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ
7. ไม่จำเป็นต้องอยู่กลางภาพ- เพิ่มชีวิตชีวาให้ภาพของคุณอย่างง่ายดาย โดยการเลื่อนแบบออกจากบริเวณกลางภาพ- ลองจินตนาการตาราง โอเอ็กซ์ (มีเก้าช่อง) ในช่องมองภาพและวางแบบตรงจุดตัด ของเส้น- เนื่องจากกล้องส่วนใหญ่จะโฟกัสตรงกลางภาพ ดังนั้น อย่าลืมใช้เคล็ดการล็อคโฟกัส ก่อนที่จะจัดกรอบภาพใหม่
8. รู้ระยะแฟลช
- ภาพถ่ายที่ได้จากการถ่ายแบบเกินระยะทำการของแฟลช จะมืดเกินไป- กล้องส่วนมากจะมีระยะทำการแฟลชแค่ 10 ฟุต หรือประมาณ 4 ก้าว ควรอ่านคู่มือเพื่อ ให้แน่ใจ- ถ้าแบบที่ต้องการถ่ายอยู่ห่างจากกล้องเกิน 10 ฟุต ภาพถ่ายที่ได้อาจมืดเกินไป
9. สังเกตแสง-เงา - แสงที่ดีทำให้ได้ภาพถ่ายที่ดี ควรศึกษาผลของแสงในภาพถ่ายของคุณ- สำหรับการถ่ายภาพคน ควรเลือกแสงนุ่มๆ ของวันที่มีเมฆ หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ส่องตรง ศีรษะ เพราะจำเกิดเงาดำเข้มบนใบหน้า- สำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ควรใช้แสงเงาและสีของแสงแดดในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็น
10. เป็นผู้กำกับ- ใช้เวลาเพิ่มอีกสักนิดในการถ่ายภาพ เสมือนคุณเป็นผู้กำกับภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถ่าย ภาพ- เพิ่มของประกอบฉาก (Prop) หรือจัดแบบใหม่ หรือลองมุมกล้องที่ต่างจากเดิม- ให้แบบมาอยู่ด้วยกันและปล่อยให้พวกเขาแสดงบุคคลิกของตัวเองออกมา และคุณจะ เห็นว่าภาพถ่ายของคุณดูดีกว่าเดิมอย่างมหัศจรรย์ ข้อมูลจาก exstory.exteen.com
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
พบประโยชน์ของผลไม้หลังสุด ที่มีคุณค่ามากกว่าเก่า 5 เท่า
นักวิจัยเมืองผู้ดีค้นพบว่า ผลไม้มีปริมาณสารเคมีโพลีฟีนอลสูงกว่า ที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า เพราะการย่อยได้สลายเป็นสารอาหารที่ให้คุณต้านอนุมูลอิสระ.....
คณะนักวิทยาศาสตร์ได้นำเอาคุณสมบัติของผลไม้ต่างๆไปวิเคราะห์ใหม่ และได้พบว่าผลไม้อย่างลูกแอปเปิ้ลล้วนแต่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญในระดับสูงกว่า ที่เคยคาดผิดไว้แต่เมื่อก่อน
คณะวิเคราะห์ได้ศึกษาที่สถาบันวิจัยอาหารในเมืองนอรวิชของอังกฤษ ได้รู้ว่า ผลไม้เหล่านั้นมีปริมาณของสารเคมีโพลีฟีนอลชั้นสูง มากกว่าที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า
ดร.ปอล ครูน กล่าวว่า สารประกอบเหล่านี้ในมนุษย์ จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายกลายเป็นสารในกระบวนการสร้างและสลายที่ให้คุณ อย่างเช่นในด้านต่อต้านอนุมูลอิสระ
รายงานผลการวิจัย ซึ่งเผยแพร่ในวารสารเคมีการเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ ได้แสดงว่าสารเคมีซึ่งปกตินักเคมีอาหารมองข้ามไปนั้น แท้จริงเป็นส่วนสำคัญของอาหารบำรุงร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
เหตุใดน้ำแข็ง จึงลอยอยู่บนน้ำได้
เพราะน้ำแข็งมีความหนาแน่นน้อยกว่า น้ำที่มีน้ำหนักเบากว่าน้ำ จึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้ การเปรียบเทียบน้ำหนักของน้ำและน้ำแข็งจะต้องเปรียบเทียบในจำนวนปริมาตรที่ เท่ากัน น้ำหนึ่งลูกบาศก์เซนติเมตรมีน้ำหนักหนึ่งกรัมแต่น้ำแข็งหนึ่งลูกบาศก์ เซนติเมตรจะหนักเพียง 0.9 กรัม แสดงว่าน้ำแข็งเบากว่าน้ำ ดั้งนั้นน้ำแข็งจึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้..... น้ำ มีสมบัติเฉพาะตัว เมื่อน้ำมีอุณหภูมิที่ 4 องศาเซลเซียสน้ำจะขยายตัว น้ำเมื่อแข็งตัวจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10 เปอร์เซนต์ ถ้านักเรียนใส่น้ำใน ลูกโป่งและนำไปแช่แข็งน้ำแข็งจะมีมวลเท่าเดิมแต่ปริมาตรเพิ่มขึ้น การที่สสารมีมวลเท่าเดิมแต่ขนาดเพิ่มขึ้นแสดงว่าสสารนั้นมีความหนาแน่นลดลง ดังนั้นเมื่อใส่น้ำแข็งในน้ำ น้ำแข็งจึงลอย เพราะน้ำแข็งมีความ หนาแน่นน้อยกว่าน้ำผลบางประการที่เกิดจากสมบัติข้อนี้ของน้ำ
ตัวอย่างเช่น ถ้าใส่น้ำในขวดแก้วจนเต็มปรี่แล้วปิดจุกจนแน่น นำไปแช่เย็นจนน้ำเปลี่ยนเป็น น้ำแข็ง ขวดที่ใส่จะแตก ทั้งนี้เพราะน้ำขยายตัวเมื่อเป็นน้ำแข็ง อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเมื่อน้ำ เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแต่ไม่ขยายตัว (เพิ่มปริมาตร) น้ำแข็งอาจจับตัวอยู่ก้นทะเล หรือมหาสมุทร ไม่แข็งอยู่เฉพาะผิวหน้า ถ้าเป็นเช่นนั้นในฤดูหนาวน้ำในทะเลสาปใน ประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลกจะเป็นน้ำแข็งไปหมดพอถึงฤดูร้อน น้ำแข็งหลอมเหลวไม่หมด ก็จะทำให้ระบบนิเวศของโลกเปลี่ยนไปด้วย
ข้อมูลจาก :: ที่นี่ดอทคอม
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
น้ำเพื่อสุขภาพ
หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่น ควรดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำทั้งหมด 10 แก้ว โดยตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนสายดื่มอีก 2 แก้ว ตอนบ่ายและตอนเย็นดื่มครั้งละ 3 แก้ว และก่อนเข้านอนดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายขึ้น นอกเหนือจากน้ำเปล่าแล้ว คุณ ๆ สามารถดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ไม่จำกัด ข้อควรจำคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอ ก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อย รับรองสบายท้อง ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลา เป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะเวิร์กกว่า